ทำไมต้องศึกษาพระธรรม
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2011-04-18 15:00:27
ทำไมต้องศึกษาพระธรรม
“...พระพุทธเจ้ามิได้ทรงมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้วจะเป็นศาสดาแทนพระองค์...”
ผมคิดว่าพวกเราบางคนคงเคยได้ยินคำกล่าวข้างต้นมาบ้างแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราไม่ควรหวังพึ่งพาผู้ใดผู้หนึ่งให้สืบทอดพระพุทธศาสนาเพียงลำพัง แต่ควรที่ตัวเราจะขวนขวายศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ให้เข้าใจด้วย เพราะตราบใดที่ยังมีผู้เข้าใจพระธรรมคำสอน พระพุทธศาสนาก็จะยังคงดำรงอยู่ได้ และเมื่อศาสนาดำรงอยู่ได้ เราก็จะยังมีพระธรรมเป็นที่พึ่งต่อไป ไม่ใช่แต่เพียงเฉพาะชาตินี้ หากเป็นชาติต่อๆไปด้วยเมื่อเรามีโอกาสเกิดมาเป็นคนอีก
พระธรรมเป็นที่พึ่งที่สำคัญก็ด้วยว่า ช่วยให้เราละความไม่รู้ (อวิชชา) และความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) รวมทั้งทำให้เข้าใจสภาพธรรมต่างๆ (ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา) ตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้นทีละน้อยตามกำลังปัญญาที่สะสมมา ความลุ่มหลง ความไม่รู้และอกุศลอื่นๆในชีวิตก็สามารถลดน้อยลงได้ ขณะที่การอบรมเจริญกุศลเพื่อละโลภะ โทสะ โมหะ ก็มีโอกาสเกิดมากขึ้น เพื่อวันหนึ่งจะสามารถดับทุกข์และไม่ต้องเกิดอีกได้
การศึกษาพระธรรมต้องใช้เวลามาก เพราะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเข้าใจได้ยาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ แล้วเราเป็นใครกันละ จะมาอ่านหนังสือหรือฟังธรรมแค่สองสามปีแล้วหวังจะเข้าใจพระธรรมอย่างถ่องแท้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจึงควรเร่งศึกษาพระธรรมตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะด้วยการฟัง การอ่าน การสนทนาธรรมกับท่านผู้รู้เป็นประจำ ทั้งนี้เพราะการศึกษาพระธรรมนี้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ
นอกจากนี้แล้ว จากการศึกษาพระธรรมเราจะรู้ว่า การที่เราจะได้มาเกิดเป็นคนนั้นแสนยาก และหากไปเกิดในดินแดนที่ไม่มีพระพุทธศาสนาแพร่หลายแล้ว โอกาสที่จะศึกษาพระธรรมก็เป็นไปได้ยาก ในเมื่อตอนนี้เรามีโอกาสที่หาได้ยากแสนยากแล้ว เหมือนคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งก็ไม่ปาน ควรหรือที่เราจะละทิ้งโอกาสแบบนี้ไป
ทั้งนี้ความรู้ความเข้าใจจากการศึกษาพระธรรมในแต่ละชาติจะไม่เสียเปล่า แต่จะสะสมอยู่ในจิตของเราต่อไปถึงภพหน้า ถือเป็นอริยทรัพย์ (ทรัพย์อันประเสริฐเป็นของติดตัว อยู่ภายในจิต)ที่ติดตามเราไปทุกภพชาติจนกว่าจะสิ้นสังสารวัฏฏ์ ไม่เหมือนทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ เมื่อตายแล้วก็จากกันไป ไม่สามารถนำติดตัวไปได้