ความดับไม่เหลือ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2010-10-29 15:19:59
ในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนั้นอยากจะกล่าวว่า มันง่าย…เหมือนตกกระไดแล้วพลอยกระโจนมันยาก…อยู่ตรงที่ไม่กล้าพลอยกระโจนในเมื่อพลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมาก เพราะตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าเป็นทาง ไหนๆ เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้วจิตหรือ เจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกันให้ปัญญากระจ่างแจ้งขึ้นมาว่า ไม่มีอะไรที่น่าจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อเอา เพื่อเป็นเพื่อหวังอะไรอย่างใดต่อไปอีก หยุด สิ้นสุด ปิดฉากสุดท้ายกันเสียที เพราะไปแตะเข้าที่ไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรเข้าที่ไหน หรือได้อะไรที่ไหนมาจิตหมดที่หวังหรือความหวังละลายไม่มีที่จอด มันจึงดับไปพร้อมกับกายอย่างไม่มีเชื้อเหลือมาเกิดอีกสิ่งที่เรียกว่าเชื้อ ก็คือความหวัง หรือความอยาก หรือความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง สมมติว่า ถูกควายขวิดจากข้างหลัง หรือรถยนต์ทับหรือตึกพังทับ ถูกลอบยิง หรือถูกระเบิดชนิดไหนก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกเหลืออยู่ แม้สักครึ่งวินาทีก็ตามจงน้อมจิตไปสู่ความดับไม่เหลือ หรือทำความดับไม่เหลือเช่นว่านี้ให้แจ่มแจ้งขึ้นในใจเหมือนที่เราเคยฝึกอยู่ทุกค่ำเช้าเข้านอนตื่นขึ้นมา ในขณะนั้นทำให้จิตดับไป ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการ“ตกกระไดพลอยโจน” ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อเหลือ ถ้าหากจิตดับไปเสีย โดยไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับให้รู้สึกได้
ดังนั้นก็แปลว่า ถือเอาความดับไม่เหลือที่เราพิจารณาและมุ่งหมายอยู่เป็นประจำใจทุกค่ำเช้าเข้านอนนั่นเอง เป็นพื้นฐานสำหรับการดับไป มันจะเป็นการดับไม่เหลืออยู่ดีไม่เสียท่าเสียทีแต่ประการใด อย่าได้เป็นห่วงเลย จิตที่มีสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ ศึกษาอยู่ที่จิตเป็นจิตที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้ผ่องแผ้ว จิตชนิดนี้เป็นจิตที่สามารถรู้สภาพธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงอันเป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้
ขอขอบคุณ http://www.dhammajak.net/