จากเรื่องราว
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2010-07-21 14:48:50
จากเรื่องราวเมื่อตอนที่แล้วได้แสดงว่า พระมหินเถระที่ประเทศอินเดีย ได้พิจารณา
ถึงกาลเวลาที่เหมาะสมในการประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ว่าเวลาที่พระเจ้า-
เทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์เป็นเวลาที่เหมาะสม ในการประกาศพระศาสนา และเมื่อ
พระเจ้าเทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์ พระอินทร์ก็ได้ไปบอกกับพระมหินเถระว่าถึง
เวลาแล้วที่ควรไปประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา เหตุที่พระอินทร์ไปบอกกับ
พระมหินเถระเพราะพระพุทธเจ้าเมื่อยังไม่ได้ปรินิพพาน ได้ทรงเห็นว่าในอนาคตกาล
พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรื่องที่ประเทศศรีลังกา จึงได้ตรัสกับพระอินทร์ว่าแม้พระองค์ก็
ควรไปเกาะศรีลังกากับพระมหินเถระด้วย
มาถึงตอนที่ 2 เรื่องราวจึงพอสรุปได้ดังนี้ พระมหินเถระและภิกษุรูปอื่นๆ เหาะจาก
ประเทศอินเดียมาที่มิสสกบรรพตที่ประเทศศรีลังกา ประมาณ ปี 236 หลังจากที่พระ-
พุทธเจ้าปรินิพพาน ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าเทวนัมปิยดิสกำลังล่าเนื้ออยู่ที่ภูเขามิสสก
บรรพตเช่นกัน จึงได้พบพระเถระและได้มีการสนทนา ซึ่งขอให้ได้อ่านข้อความใน
พระไตรปิฎกโดยละเอียดอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจและปิติปราโมทย์ในพระธรรม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 123
[พระมหินทเถระพร้อมกับคณะไปเกาะลังกา]
พระเถระ รับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้น
ไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายใน
บัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี. เพราะ เหตุนั้น
พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า
พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรี-
บรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้
ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอัน
ประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอัน
อุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีป
ลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือ
ท้องฟ้าฉะนั้น,พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป
แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บน
ยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่
ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่-
หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น.
ก็ท่านพระมหินทเถระ ผู้มาร่วมกับพระเถระทั่งหลาย มีพระอิฏฏิยะ เป็นต้น
ยืนอยู่อย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ยืนอยู่แล้วในเกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา
นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน.
[พระเจ้าเทวานัมปิยดิสทรงพบพระมหินทเถระ]
ก็ในวันนั้น ที่เกาะตัมพปัณณิทวีป มีงานนักษัตรฤกษ์ในเชษฐมาสต้น
(คือเดือน ๗). พระราชาทรงรับสั่งให้โฆษณานักษัตรฤกษ์ แล้วทรงบังคับ
พวกอำมาตย์ว่า พวกท่าน จงเล่นมหรสพเถิด ดังนี้ มีราชบุรุษจำนวนถึง
สี่หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกไปจากพระนคร มีพระสงค์จะทรงกีฬาล่าเนื้อ
จึงเสด็จไปโดยทางที่มิสสกบรรพตตั้งอยู่. เวลานั้น มีเทวดาตนหนึ่ง ซึ่ง
สิงอยู่ที่บรรพตนั้น คิดว่า เราจักแสดงพระเถระทั้งหลาย แก่พระราชา จึง
แปลงเป็นตัวเนื้อละมั่งเที่ยวทำทีกินหญ้าและใบไม้อยู่ในที่ไม่ไกล(แต่พระเถระ
นั้น). พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นเนื้อละมั่งตัวนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า บัดนี้
ยังไม่สมควรจะยิงเนื้อ ตัวที่ยังเลินเล่ออยู่ จึงทรงดีดสายธนู. เนื้อเริ่มจะหา
ทางหนี ๆ ไปทางที่กำหนดหมายด้วยต้นมะม่วง. พระราชาเสด็จติดตามไป
ข้างหลัง ๆ แล้วเสด็จขึ้นสู่ทางที่กำหนดด้วยต้นมะม่วงนั่นเอง. ฝ่ายมฤค ก็
หายตัวไปในที่ไม่ไกลพระเถระทั้งหลาย. พระมหินทเถระเห็นพระราชากำลัง
เสด็จมาในที่ไม่ไกล จึงอธิษฐานใจว่า ขอให้พระราชาทอดพระเนตรเห็น
เฉพาะเราเท่านั้น อย่าทอดพระเนตรเห็นพวกนอกนี้เลย จึงทูลทักว่า ติสสะ
ติสสะ ขอจงเสด็จมาทางนี้. พระราชาทรงสดับแล้ว เฉลียวพระหฤทัยว่า
ขึ้นชื่อว่าชนผู้ที่เกิดในเกาะนี้ซึ่งสามารถจะเรียกเราระบุชื่อว่า ติสสะ ไม่มี ก็
สมณะโล้นรูปนี้ทรงแผ่นผ้าขาดที่ตัด (ด้วยศัสตรา) นุ่งห่มผ้ากาสาวะ เรียก
เราโดยเจาะชื่อ ผู้นี้คือใครหนอแล จักเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ? พระเถระจึง
ถวายพระพรว่า
ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! อาตม-
ภาพทั้งหลายชื่อว่าสมณะ เป็นสาวกของ
พระธรรมราชามาที่เกาะนี้ จากชมพูทวีป
เพื่ออนุเคราะห์มหาบพิตรเท่านั้น.
ท้าวเธอพระองค์นั้น เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงศาสนาประวัตินั้น ที่พระองค์
ได้ทรงสดับมาไม่นาน(ได้ฟังจากพระเจ้าอโศก) ครั้นได้ทรงสดับคำนั้น ของ
พระเถระว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลาย ชื่อว่าสมณะ
เป็นสาวก ของพระธรรมราชาดังนี้ เป็นต้นแล้วทรงดำริว่า พระผู้เป็น
พระเจ้าทั้งหลาย มาแล้วหนอแล จึงทรงทิ้งอาวุธในทันใดนั้นเอง แล้วประทับ
นั่งสนทนาสัมโมทนียกถาอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.เหมือนดังที่พระโบราณาจารย์
กล่าวไว้ว่า
พระราชาทรงทิ้งอาวุธแล้ว เสด็จ-
ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่ง
แล้ว ได้ตรัสพระดำรัสประกอบด้วยประโยชน์
เป็นอันมากร่าเริงอยู่.
[พรเถระแสดงให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นจริงอีก ๖ คน]
คราวนั้น พระเถระ ก็แสดงชน ๖ คนแม้นอกนี้. พระราชาทอด
พระเนตรเห็น (ชนทั้ง ๖ นั้น) แล้ว จึงทรงรับสั่ง (ถาม) ว่า คน
เหล่านี้มาเมื่อไร ?
พระเถระ. มาพร้อมกับอาตมภาพนั่นแล มหาบพิตร !
พระราชา. ก็บัดนี้สมณะแม้เหล่าอื่น ผู้เห็นปานนี้ มีอยู่ในชมพูทวีปบ้างหรือ ?
พระเถระ. มีอยู่ มหาบพิตร ! บัดนี้ ชมพูทวีป รุ่งเรืองไปด้วย
ผ้ากาสาวพัสตร์ สะบัดอบอวลไปด้วยลมฤษี, ในชมพูทวีปนั้น
มีพระอรหันต์พุทธสาวกเป็นอันมาก
ซึ่งเป็นผู้มีวิชชา ๓ และได้บรรลุฤทธิ์
เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ สิ้นอาสวะแล้ว.
พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากัน
มาโดยทางไหน ?
พระเถระ. มหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลายไม่ได้มาทางน้ำและทางบกเลย.
พระราชา. ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้มาทางอากาศ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 383
ท้าวมฆวานเทพกุญชร ผู้เป็นอธิบดีในสวรรค์ชั้นไตรทศ ทรงสดับคำนี้แล้ว
เมื่อจะยังเทวดาชั้น ดาวดึงส์ให้เลื่อมใส จึงได้ตรัสคำนี้กะมาตลีเทพสารภีว่า ดูก่อน
มาตลี ท่านจงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่าอัศจรรย์นี้ ไทยธรรม(ของบูชา)ที่เทพธิดา
นี้กระทำแล้ว ถึงจะน้อย บุญก็มีผลมาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า
หรือในสาวกของพระองค์ก็ตาม ทักษิณา ไม่ชื่อว่าน้อยเลย มาเถิด มาตลี แม้ชาว
เราทั้งหลาย ก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพราะ
การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพ-
พานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้
ชอบ สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายกระทำสักการะใน พระตถาคต
เหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่
ชนเป็นอันมากหนอ.
ไม่มีอุบายหรือเคล็ดลับใด ๆ ที่จะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้เลย มีแต่เพียง
ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าทางตา ทางหู...และทางใจ
การฟังพระธรรม และพิจารณาธรรมบ่อย ๆ เท่านั้น ที่จะทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละ
น้อย ๆ จนเป็นปัจจัยให้สติมีกำลังที่จะระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม ไม่มีตัวตน ไม่มี
เราที่ไประลึก ต้องมั่นคงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แม้สติก็เป็นธรรมอย่าง
หนึ่งเป็นอนัตตา หนทางปฏิบัติที่จะให้ละกิเลสได้ มีทางเดียว คือการเจริญ
สติปัฏฐาน ไม่ใช่การทำ แต่เป็นการอบรมเจริญเนือง ๆ บ่อย ๆ เพื่อให้มีมาก
เพื่อให้เป็นกำลัง
ทุกวันนี้ชีวิตดำเนินไปด้วยความไม่รู้ความจริงไปตามโลกที่สมมติกัน เมื่อไม่รู้ความ
จริงของเห็น เห็นแล้วจึงคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย มีคนนั้นคนนี้ มีสัตว์สิ่งของ
ต่าง ๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง สำหรับพระอริยเจ้านั้น ท่านรู้จักโลกตามความเป็นจริงว่า แท้จริง
ขณะที่คิดว่าเป็นโลก เป็นสัตว์สิ่งของ คนนั้นคนนี้เป็นเรื่องราวต่าง ๆ นั้นไม่มีจริง เป็น
เพียงโลกที่สมมติกันเท่านั้น ท่านรู้ความจริงของโลกทางตา ทางหู..และทางใจ ส่วน
ปุถุชนอย่างเรา เห็นก็ยังเป็นเราที่เห็น เราได้ยิน...ความจริงเห็นเกิดขึ้น เห็นเพียงสิ่ง
ที่ปรากฏทางตาเท่านั้นแล้วดับไป เพราะความไม่รู้ความจริงของเห็น ทันทีที่เห็นจึง
คิดไปในนิมิตสัณฐานต่าง ๆ เป็นรูปร่าง เป็นคน เป็นสัตว์ตามที่ได้จำไว้ ชีวิตจึงอยู่
กับเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง แล้วจะอยู่กับความไม่รู้ต่อไปหรือจะค่อย ๆ ฟังพระ
ธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู...และทางใจ ค่อยๆเข้าใจโลก
ทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง
อุปทานคือความยึดมั่น ยึดถือด้วยโลภะบ้างหรือด้วยความเป็นเรา เห็นเมื่อเกิดขึ้นก็ ต้องมีสิ่งที่เห็น พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ได้ทรงแสดงว่าเมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้อง มีสิ่งที่เห็น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงสีเท่านั้น ยังไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เมื่อจิตเห็นดับไป จิต อื่นๆสืบต่อ จิตวาระอื่นๆสืบต่อทำให้คิดในสิ่งที่เห็น(สี)ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นคนนั้น คนนี้ จึงทำให้ยึดถือด้วยอุปทานด้วยความเป็นเรา มีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ทั้งๆที่จริงๆ แล้ว สัตว์ บุคคลไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้นคือสิ่งที่เห็น(สี)
สิ่งที่มีและมีจริงๆก็คือมีแต่ธรรมเท่านั้นครับ คือ จิต เจตสิก รูป แต่เพราะมี จิต เจตสิก รูป เช่น มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมที่ประชุมรวมกันและมีจิต จึงบัญญัติว่าเป็นคนเป็นสัตว์ จึง สำคัญสิ่งที่ไม่มีจริงที่เป็นคนเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆว่ามีจริงๆ เพราะสิ่งที่มีจริงมีแต่ ธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูปครับ จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆก็ ด้วยปัญญาโดยการศึกษาธรรมครับ
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.dhammathai.org/