ควรรู้พร้อมสติ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2010-05-19 21:26:32
ความเจริญของพระพุทธศาสนาคือใจของแต่ละบุคคลที่เจริญในคุณธรรม เจริญใน
ความดี เจริญด้วยปัญญา ความเจริญพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้หมายถึงศาสนาวัตถุที่มี
จำนวนมากมาย หากแต่ว่าหมายถึงใจของแต่ละคนที่เข้าใจคำสอนและน้อมประพฤติ
ปฏิบัติตาม อันทำให้กุศลจิตและกุศลธรรมต่างๆมีความเจริญขึ้น ทั้งการให้ทานการ
รักษาศีลและความเมตตารวมทั้งความเข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ต้องมีความแตกดับ เสื่อมไป
เป็นธรรมดา พระพุทธศาสนาก็เช่นกันนับจากสมัยพุทธกาล ความเสื่อมก็มีมาเรื่อยๆอัน
เนื่องมาจากขาดความเข้าใจพระธรรมและไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพราะเหตุนั้นใจ
ของบุคคลจึงมากไปด้วยความไม่รู้และกิเลสมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณธรรมเสื่อม ศาสนา
ก็เสื่อม พระศาสนาจึงเสื่อมลงตามใจของแต่ละบุคคล ความเสื่อมของพระพุทธศาสนา
จึงไมได้เสื่อมเพราะศาสนาวัตถุมีจำนวนน้อยลงเป็นเหตุ แต่พระศาสนาเสื่อมที่ใจของ
แต่ละคนที่ขาดความเข้าใจและโสภณธรรม สภาพธรรมฝ่ายดีลดน้อยลง มีเมตตาและ
ปัญญา เป็นต้น
ในสมัยพระพุทธเจ้าในอดีต มีตัวอย่างมากมายให้เป็นอุทาหรณ์ถึงความเสื่อมของ
พระพุทธศาสนาที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ซึ่งหากเราได้ศึกษาได้อ่าน
ทำความเข้าใจในเรื่องความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆว่าเป็น
ธรรมดา ก็จะทำให้เข้าใจสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีว่าทุกอย่างเป็นธรรมและเป็น
ธรรมดาว่าถึงเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมไปก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ไม่ใช่เสื่อมเพราะ
ใครเพราะใจของแต่ละคนนั่นเอง
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปในพระไตรปิฎกแสดงถึงความเสื่อมของพระศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะคือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ในกัปนี้ พระพุทธเจ้าของ
เราคือพระพุทธเจ้าสมณโคมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในกัปนี้ ศาสนาของพระพุทธ
เจ้ากัสสปะเสื่อมลงเพราะอาศัยภิกษุผู้ไม่คำนึงถึงพระศาสนาเพราะได้ลาภ สักการะ
จากภิกษูไม่ดี ภิกษุผู้ถูกประจบจากภิกษุไม่ดีจึงไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ลำเอียง
เพราะรักจึงทำให้พระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะเสื่อมนั่นเอง เรื่องราวมีดังนี้
ขอเชิญอ่านครับ
ความเสื่อมของพระศาสนาเพราะอาศัยลาภ สักการะ
เมื่อพระพุทธเจ้ากัสสปะปรินิพพาน มีกุลบุตรผู้มีศรัทธา 2 ท่านผู้เป็นสหายกันออกบวช
กุลบุตรทั้งสองเมื่อบวชแล้วก็เป็นผู้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉาน และเป็นพระวินัยธร
ฉลาดในการวินิจฉัยคดี ท่านทั้งสองเพราะอาศัยความรู้ในปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น แต่
ละรูปมีภิกษุ 500 เป็นบริวาร ท่านทั้งสองได้แสดงพระธรรม ดังราวกับว่าเป็นสมัยที่
พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่คือเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก(เจริญด้วยความเข้าใจธรรม)
ในสมัยนั้นมีภิกษุ 2 รูปคือภิกษุดีและภิกษุไม่ดี ภิกษุไม่ดีเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม ภิกษุดี
จึงกล่าวตักเตือนในการกระทำที่ไม่ดีของภิกษุรูปนั้น แต่พระภิกษุไม่ดีไม่เชื่อถ้อยคำ
และรู้ว่าพระภิกษุดีจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับพระวินัยธรให้ตัดสินคดีในเรื่องนี้ ตัวเองก็จะไม่
มีที่พึ่งในพระศาสนา เมื่อภิกษุไม่ดีรู้ดังนั้นจึงเข้าไปหาพระวินัยธรทั้งสองรูป ทำการ
ประจบด้วยการบำรุงพระเถระทั้งสอง ดุจเหมือนทำวัตรปฏิบัติกับพระเถระ
วันหนึ่งภิกษุไม่ดี เข้าไปหาพระเถระทั้งสองไหว้แล้วก็ยังไม่ยอมไปไหน พระเถระจึง
ถามว่ามีเรื่องอะไรที่จะพูดอีกหรือ ? ภิกษุไม่ดี จึงกล่าวว่ามีขอรับ กระผมทะเลาะกับ
ภิกษุรูปหนึ่ง เพราะอาศัยความประพฤติของผม ถ้าภิกษุนั้นมาที่นี้จะบอกเรื่องนี้ให้
วินิจฉัยคดี โปรดอย่าวินิจฉัยคดี พระเถระจึงกล่าวว่าการไม่วินิจฉัยคดีเป็นสิ่งที่ไม่ควร
ควรจะวินิจฉัยคดี ภิกษุดีจึงขอร้องว่าหากท่านวินิจฉัยคดีผมจะไม่มีที่พึ่งในพระศาสนา
ความชั่วของผมจกยกไว้คือไม่นำมาวินิจฉัยคดีเถิด พระวินัยธรถูกภิกษุไม่ดีบีบคั้นบ่อยๆ
และเพราะเห็นแก่ ลาภ คำสรรเสริญที่ภิกษุไม่ดีมีให้ในอดีตจึงยอมรับคำของภิกษุไม่ดี
เมื่อพระภิกษุไม่ดีได้ที่พึ่ง(พระวินัยธรยอมช่วย)จึงเข้าไปหาพระภิกษุดีและกล่าวว่า
เรื่องจบแล้วและก็พูดและกระทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าพระภิกษุดีอีก พระภิกษุดีจึงคิดว่า
ภิกษุไม่ดีได้ที่พึ่งแล้ว เข้าไปหาพระภิกษุผู้เป็นบริวารของพระวินัยธร 1,000 รูป กล่าว
ว่าเรื่องนี้ควรวินิจฉัยคดีมิใช่หรือ แต่ทำไมพระเถระทั้งสองถึงไม่วินิจฉัยคดีเพราะเหตุ
อะไร ภิกษุเหล่านั้นก็นิ่งเสีย ด้วยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา พระอาจารย์ของเรารู้แล้ว
พระภิกษุชั่วได้โอกาสก็พูดด่าว่าพระภิกษุดีและก็กล่าวว่าท่านแพ้แล้ว ภิกษุดีจึงเข้าไป
หาพระเถระทั้งสองที่เป็นพระวินัยธรแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายไม่คำนึงถึงพระศาสนา
คำนึงแต่รักษาบุคคลว่าภิกษุไม่ดีจะบำรุงเรา ไม่รักษาพระศาสนาแต่รักษาบุคคล และ
กล่าวว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วในวันนี้ แล้วก็
ร้องด้วยเสียงอันดังว่า คร่ำครวญอยู่ว่า พระศาสนาของพระพระศาสดาพินาศแล้วและ
ก็หลีกไป ภิกษุเหล่านั้นได้ยินคำนั้นสลดใจ เกิดความรังเกียจว่าเรารักษาบุคคลโยน
รัตนะคือพระศาสนาลงในเหว เมื่อตายไม่อาจไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงได้ไปเกิดเป็นยักษ์
เมื่อได้อ่านเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าพระศาสนาเสื่อมเพราะอาศัยภิกษุไม่ดีที่มุ่งคอยประจบ
เพื่อให้ตัวเองเป็นอยู่ ไมได้คำนึงถึงความถูกต้องเพื่อรักษาพระศาสนา เมื่อภิกษุไม่ดีมี
ที่พึ่ง มีอำนาจ คือพระวินัยธรเชื่อเพราะอคติเพราะรัก ภิกษุดีก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะพระวินัยธรไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่ได้เชื่อถ้อยคำของภิกษุดี พระศาสนา
จึงเสื่อม เสื่อมที่ใจที่ขาดคุณธรรม
เมื่อเราเทียบกับเรื่องนี้กับสังคมในปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าคล้ายคลึงกันและเป็นธรรมดา
เพราะพระศาสนาล่วงเลยมาแล้ว 2500 กว่าปี พระศาสนาจึงเสื่อมไปตามความเข้าใจ
และคุณธรรมที่มีในคนยุคปัจจุบัน การรักษาพระศาสนาจึงเริ่มที่ตัวเรา ศึกษาพระธรรม
ด้วยความเข้าใจถูก ที่สำคัญน้อมประพฤติปฏฺบัติตามด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพื่อเหตุ
อย่างอื่นนอกจากการขัดเกลากิเลส เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ใจก็ประกอบด้วยโสภธธรรม
ธรรมที่ดีงามคือมีเมตตามากขึ้น พร้อมอยู่ด้วยความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน
ทุกอย่างเมื่อเจริญก็ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา หากแต่ว่าตัวเรานั่นเองจะเป็นส่วนหนึ่ง
ให้พระศาสนาเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการน้อมประพฤติปฏิบัติ
ตามพระธรรม การรักษาพระศาสนาจึงขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคนครับ
อย่าโทษหรือโกรธใคร เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใคร มีแต่ธรรมเท่านั้น
และคิดนึกเอาเองว่ามีเรื่องราว มีสิ่งต่างๆ หลงอยู่ในโลกของความคิดของตัวเอง กลับ
มาสู่ความจริงคือสิ่ งที่มีจริง(ตัวปรมัต)ก็จะเบา เพราะเข้าใจว่าเรื่องไม่มีมีแต่ธรรมทีละ
ขณะ อยู่ด้วยความเข้าใจ อยู่ด้วยความเมตตา อยู่ด้วยกุศลจิต เหตุการณ์ปัจจุบันจึงเป็น
เครื่องพิสูจน์ปัญญา จึงควรเห็นโทษของอกุศลที่เกิดกับตัวเอง ไม่ใช่สิ่งอื่น ประโยชน์
คือขัดเกลากิเลสตัวเองเป็นสำคัญ
กลับมาสู่ความสนใจพระธรรม เวลาเหลือน้อย มัวเมาด้วยเรื่องราว สะสมสิ่งที่เพิ่ม
อกุศล ทำให้ขาดโสภณธรรมมีเมตตา เป็นต้น ขณะนี้กำลังมีธรรม รู้หรือยัง ? ยังไม่รู้จึง
เป็นผู้กลับมาสู่ขณะที่ประเสริฐคือศึกษาธรรม ฟังธรรม สิ่งที่คิดว่าสำคัญมากมาย ดูเป็น
เรื่องใหญ่ในขณะนี้ ก็แค่นึกคิดแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย ตายแล้วก็ลืมหมด แล้วอะไรที่
สำคัญที่สุดกับชีวิตจริงๆที่จะติดตัวและเป็นมิตรช่วยเหลือในภพหน้า
อุภโตพัทธมิสสกจักร
[๓๒๗] ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค และสุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค และเพื่อความสุข สุกกะสีเขียว และสุกกะ
สีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข และเพื่อเป็นยา สุกกะสีเขียว
สุกกะสีเหลือง และสุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา และเพื่อให้ทาน
สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง และสุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน และ
เพื่อเป็นบุญ สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว และสุกกะสีเหมือนเปรียง
เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อ
เป็นบุญ และเพื่อบูชายัญ สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว สุกกะสี
เหมือนเปรียง และสุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อ
เป็นบุญ เพื่อบูชายัญ และเพื่อไปสวรรค์ สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง สุกกะ
สีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า และสุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อ
เป็นบุญ เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ และเพื่อเป็นพืช สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง
สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน
และสุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อ
เป็นบุญ เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช และเพื่อทดลอง สุกกะสีเขียว สุกกะสีเหลือง
สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะสีเหมือนน้ำมัน
สุกกะสีเหมือนนมสด และสุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจ พยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเป็นยา เพื่อให้ทาน เพื่อ
เป็นบุญ เพื่อบูชายัญ เพื่อไปสวรรค์ เพื่อเป็นพืช เพื่อทดลอง และเพื่อความสนุก สุกกะสีเขียว
สุกกะสีเหลือง สุกกะสีแดง สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง สุกกะสีเหมือนน้ำท่า สุกกะ
สีเหมือนน้ำมัน สุกกะสีเหมือนนมสด สุกกะสีเหมือนนมส้ม และสุกกะสีเหมือนเนยใส
เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
อุภโตพัทธมิสสจักร จบ.
ขัณฑจักร
[๓๒๘] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
ขัณฑจักร จบ.
พัทธจักร
[๓๒๙] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
พัทธจักร จบ.
กุจฉิจักร
กุจฉิจักร หมวดที่ ๑
[๓๓๐] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๒
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีขาว สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
[พึงทราบจักรทั้งหลาย อย่างนี้]
กุจฉิจักร หมวดที่ ๓
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๔
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๕
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๖
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๗
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหมือนเนยใส เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร หมวดที่ ๘
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีขาว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหมือนเปรียง เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำท่า เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหมือนน้ำมัน เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหมือนนมสด เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหมือนนมส้ม เคลื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
กุจฉิจักร จบ.
ปิฏฐิจักร
ปิฏฐิจักร รอบที่ ๑
[๓๓๑] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหลือง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเขียว เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
ปิฏฐิจักร รอบที่ ๑ จบ.
ปิฏฐิจักร รอบที่ ๒
[๓๓๒] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีแดง พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำมัน พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมสด พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนนมส้ม พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเนยใส พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเขียว พยายาม สุกกะสีเหลือง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส.
ปิฏฐิจักร รอบที่ ๒ จบ.
ปิฏฐิจักร รอบที่ ๓
[๓๓๓] ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีขาว พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนเปรียง พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจงใจว่า จักปล่อยสุกกะสีเหมือนน้ำท่า พยายาม สุกกะสีแดง เคลื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
&nb