วัฎจักรชีวิต บทที่ 1
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2010-01-29 15:47:41
บทที่ ๑ เพื่อนแท้
หากไม่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ ท่านพระครูก็คงยังไม่ซาบซึ้งใจในเพื่อนแท้และเพื่อนตาย ซึ่งก็คือ สติสัมปชัญญะ เพราะในเวลานี้ท่านไม่มีใคร ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือพ่อแม่พี่น้อง มีแต่สติสัมปชัญญะ ที่ฝึกไว้ดีแล้วด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพิ่งตระหนักชัดในบัดนี้เองว่าคนอื่นไม่ใช่เพื่อนตาย คนอื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้ มีแต่สติสัมปชัญญะเท่านั้นที่ท่านจะพึ่งพาอาศัยได้
ในภาวะแห่งความตาย ท่านกลับมีสติทุกอย่าง แม้ตาจะมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่รู้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส กายไม่สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง และจิตไม่รับรู้อารมณ์ใด ๆ อายตนะภายในทั้ง ๖ ไม่ทำหน้าที่ แต่เพราะสติสัมปชัญญะ ท่านจึงรู้สึกได้ที่ลิ้นปี่ ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างปลายจมูกกับสะดือ และที่ประหลาดมหัศจรรย์กว่านั้นคือ ท่านหายใจทางสะดือได้!
บัดดล สติคือตัวรู้ซึ่งมีที่ทำการอยู่ตรงลิ้นปี่ก็นึกไปถึงแม่ เห็นมโนภาพตัวท่านตอนที่อยู่ในท้องแม่ กินอาหารและหายใจร่วมกับแม่โดยผ่านทางสายสะดือนี่เอง ครั้นครรภ์แก่จนอยู่ในท้องแม่ไม่ได้ก็ต้องคลอดออกมา สายสะดือถูกตัดทิ้งแต่ก็ได้ดื่มเลือดในอกของแม่เลี้ยงตัวให้เติบโหญ่ ท่านระลึกถึงวันที่คลอดออกมาจากท้องมารดา พอลืมตาก็เห็นหน้าแม่เห็นหน้าพ่อ แต่ตอนจะตายนี่สิกลับไม่เห็นใครเลย
สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้บังเกิดกับท่าน นั่นคือการรับรู้ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ มารวมกันอยู่ที่จุดเดียว คือ ที่ลิ้นปี่ซึ่งทำหน้าที่แทนอาตนะภายในทั้ง ๖ ท่านเห็นตัวเองนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นถนน ห่างจากรถมาราวยี่สิบวา ได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่มามุงดู ได้กลิ่นเลือดสด ๆ คาวคลุ้ง รู้สึกถึงรสเค็มของเลือดและเสมหะที่อัดแน่นอยู่ในช่องปากลงไปจนถึงลำคอ รู้สึกถึงความแข็งและความร้อนของพื้นถนนที่ราดด้วยยางมะตอย ส่วนธรรมารมณ์นั้นท่านรับรู้ว่าหลวงพ่อในป่าได้มาช่วยท่าน!
"เห็นความสำคัญของพอง - ยุบหรือยัง ถ้าพุทโธ ตายแน่นอน เพราะในคอของเธอเต็มด้วยเลือดและเสลด ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมเราถึงให้เธอกำหนด พุทโธ ตอนพบกันครั้งแรกที่ขอนแก่น" หลวงพ่อดำเอ่ยถามถึงความหลัง
"หลวงพ่อพูดราวกับว่าผมจะไม่ตาย จะพอง - ยุบหรือจะพุทโธ ผมก็ต้องตายอยู่ดี เพราะผมรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว" ท่านพูดกับหลวงพ่อในป่าโดยมี 'ลิ้นปี่' เป็นสถานีรับ - ส่ง รู้สึกดีใจที่ครูบาอาจารย์มาดูแลก่อนที่ท่านจะล่วงลับดับชีพ ถึงจะมาช้ากว่าสติสัมปชัญญะ ก็ยังดีกว่าไม่มาเสียเลย
"เธออยากตายหรือเปล่าล่ะ" อาจารย์ถาม
"จะอยากหรือไม่อยากผมก็ต้องตายอยู่ดี ผมขอใช้เวรที่ทำ กรรมที่ก่อ จะไม่ปฏิเสธทุกข้อหา" ศิษย์เอกตอบ
"แต่ถ้ายังไม่อยากตายก็ลองอธิษฐานดูนะ อธิษฐานขอต่ออายุกับพญายมราช เรามาบอกเท่านี้แหละ ไปละ"
"อย่าเพิ่งไปซีครับหลวงพ่อ ผมยังไม่ได้ร่ำลาเลย รอให้ผมขออโหสิกรรมจากหลวงพ่อก่อน" ไม่มีเสียงตอบจากพระในป่าและท่านพระครูก็รู้ว่าท่านไปแล้ว อาจารย์ของท่านพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น
อาจารย์ไปแล้ว ท่านก็นอนคิดอยู่แต่ผู้เดียว คิดอยู่ที่ลิ้นปี่ "อาจารย์จะให้เราอธิษฐาน ทำไมต้องอธิษฐานในเมื่อเราก็ไม่ได้อยากตาย แต่ก็ต้องมาตาย เอาเถอะ ตาย ๆ ไปเสียก็ดีเหมือนกันเพราะชีวิตของเราอยู่ไปก็ไม่เคยได้มีเวลาเป็นของตัวเองเลย ต้องช่วยคนโน้นคนนี้อยู่ตลอดเวลา เอ แต่จะว่าไปแล้ว เราก็มีความสุขกับการที่ได้ช่วยคนอื่น หรือว่าจะอยู่ต่อเพื่อช่วยเขาเพราะเราจะไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว แต่คิด ๆ ไปก็น่าน้อยใจเหมือนกัน เราเป็นพระสร้างแต่กรรมดีมาโดยตลอด เจริญกุศลภาวนาสะสมหน่วยกิจเอาไว้มากมาย แต่ต้องมาตายอย่างน่าสังเวชที่สุด"
แม้หูจะไม่ทำหน้าที่รับเสียง แต่ท่านก็ได้ยินแว่ว ๆ ที่คนเขาคุยกัน
"โอ้โฮ ลองได้กระเด็นออกมาไกลขนาดนี้ กูว่าไม่รอดแน่ ดูซิกระจกหน้ารถบาดหนังหัวเถลิกไปข้างหลัง คอก็หักพับลงมาถึงนม ถ้ารอดก็ปฏิหาริย์ละวะ" เป็นเสียงของเด็กหนุ่ม แล้วท่านก็ต้องประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเสียงดังออกมาจากร่างของท่านว่า "โยมช่วยอุ้มหน่อย โยมช่วยอุ้มหน่อย" เสียงนั้นไม่ได้ออกมาจากปากท่าน เพราะในปากมีแต่เลือดกับเสมหะ หรือว่าจะดังออกมาจากลิ้นปี่?
เสียงพ่อหนุ่มคนหนึ่งบอกพรรคพวกว่า
"ช่วยอุ้มท่านส่งโรงพยาบาลหน่อยดีไหม" อีกคนท้วงว่า "ไปอุ้มทำไม หลวงพ่อตายแล้วยังพูดได้อีกเรอะ" ประโยคหลังเขาต่อว่าท่านด้วยเสียงดุ ๆ
"ช่วยอุ้มหน่อย ช่วยอุ้มหน่อย" เสียงดังออกมาจากร่างท่านอีก และคราวนี้ท่านเห็นมือข้างซ้ายของท่าน กวักเรียกคนให้มาช่วย
"ช่วยท่านหน่อยเถอะ" คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิง
"อย่านะ ท่านตายแล้ว" เสียงผู้ชายห้าม
"ตายแล้วทำไมพูดได้" ผู้หญิงแย้ง
"ท่านไม่ได้พูด นั่นผีพูดต่างหาก ท่านถูกผีเข้าสิง"
"เอ็งรู้ได้ยังไง" เด็กหนุ่มอีกคนถาม
"รู้ซี เอ็งไม่เห็นหรือ ถ้าท่านยังไม่ตาย ท่านก็ต้องกวักมือมาทางพวกเรา แต่นี่พวกเรายืนอยู่ทางขวา ท่านผ่าไปกวักมือเรียกทางซ้าย" หนุ่มอีกคนอธิบาย
"เออ ท่าจะจริงของเอ็ง งั้นก็อย่าอุ้ม อย่าไปแตะต้องตัวท่านเพราะผีเข้าสิงแล้ว ตรงนี้ตายมา ๔๐ ศพเชียวนะ ชนกันแหลกเลย หลวงพ่อนอนอาบแดดไปก่อนนะ รอให้ปอเต็กตึ๊ง มาเก็บศพ" ว่าแล้วก็แยกย้ายกันไปเพราะกลัวผีที่สิงร่างท่านอยู่จะลุกขึ้นมาอาละวาด ท่านพระครูจึงถูกทิ้งให้นอนเดียวดายอยู่กลางแดดจ้า
ครู่ใหญ่ ๆ ตำรวจทางหลวงก็มาถึงเพราะได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน คนขับรถทัวร์หนีไปตามระเบียบ ทิ้งผู้โดยสารให้หารถต่อกันเอาเอง บรรดาผู้โดยสารก็พากันขนข้าวของของตนลงจากรถ และไปตั้งหลักรอรถคันต่อไป อยากจะมามุงดูคนเจ็บ หากก็กลัวว่าจะต้องไปเป็นพยานที่สถานีตำรวจ ทำให้กลับถึงบ้านล่าช้าไปเปล่า ๆ
รถสองแถวเก่า ๆ ที่ทางวัดกวิศรารามส่งมารับท่านพระครูถูกรถทัวร์ชนพังยับเยิน กระจกหน้ารถแตกและบาดท่านพระครูแต่ผู้เดียว ส่วนคนขับถูกอัดกับพวงมาลัย กระดูกซี่โครงหักสลบไสลคาพวงมาลัย อุบาสกใส่ชุดขาวที่นั่งมาข้างหลังก็กระเด็นออกไปจากรถ มองเผิน ๆ เหมือนกระดาษหนังสือพิมพ์ลอยมาตกที่พื้นถนนไม่ห่างจากตัวรถเท่าใดนัก
ตำรวจสองนายเดินมายังร่างของท่านพระครูเพื่อจะทำการพลิกศพ เสียงร้องเรียกดังออกมาว่า
"โยมช่วยอุ้มหน่อย โยมช่วยอุ้มหน่อย" ตำรวจนายหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า "อ้าว ท่านยังไม่ตายนี่นา งั้นเราช่วยกันอุ้มท่านขึ้นรถเถอะ"
"นั่นสิ ท่านยังกวักมือได้อยู่นี่ ถึงจะกวักไม่ตรงกับทิศทางที่เรายืนก็ไม่เป็นไร"
"ท่านคงมองไม่เห็นมั้ง ดูสิตาหลับสนิทเลย"
"ยังพูดได้ แสดงว่ายังไม่ตาย นำท่านส่งโรงพยาบาลกันเถอะ" แล้วตำรวจสองนายจึงช่วยกันอุ้มร่างของท่านไปยังรถของเขา ท่านพระครูใช้มือข้างที่ยังดีอยู่จับศรีษะไว้ รถชนแขนซ้ายของท่าน แต่กลับไปชาที่แขนข้างขวา ชาจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ขณะที่แขนข้างซ้ายยังใช้การได้ดีอยู่
นำท่านเข้ามานั่งในรถแล้วเขาก็สตาร์ทเครื่องแต่ปรากฏว่ารถสตาร์ทไม่ติด ลองสตาร์ทดูใหม่อีกหลายครั้งเครื่องก็ไม่ยอมติดอยู่ดี
"อ้าว ทำไมไม่ติดล่ะ เกิดอะไรขึ้น" ตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้น
"เมื่อวานก็เอาไปเช็คที่อู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เกิดจะมาเสียเอาตอนที่กำลังฉุกละหุกนี่แหละนะ" เขาต่อว่ารถคู่ชีพ ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นรถขนอิฐจอดอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ จึงปรึกษากับเพื่อนว่า
"ให้รถคันหน้าไปส่งดีไหม"
"คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ต้องรีบพาท่านส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ส่วนสองศพนั่นค่อยว่ากัน" เขาหมายถึงคนขับและอุบาสกคนนั้นเพราะเข้าใจว่าคนทั้งสองตายแล้ว
รถขนอิฐเป็นรถสองแถวเก่ากว่ารถคันที่ส่งมารับท่านพระครู บรรทุกอิฐมาเต็มรถ คนขับรับจ้างขนอิฐไปส่งยังร้านขายวัสดุก่อสร้างซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด รถเกิดเสียตั้งแต่สามโมงเช้า เพิ่งจะซ่อมเสร็จตอนเที่ยงเศษ" คนขับรู้สึกหิวข้าวจนตาลาย กำลังจะไปก็ถูกตำรวจสองนายเรียกไว้
"ช่วยพาพระไปส่งโรงพยาบาลหน่อยเถอะ รถผมไม่รู้เป็นอะไร มันสตาร์ทไม่ติด"
"รถผมก็เสียมาตั้งแต่สามโมงเช้า เพิ่งจะสตาร์ทติดพอดีงั้นก็ไปพาท่านมาที่รถผมเลยแล้วกันครับ" เขาบอก ใจคิดว่าเมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วคงหาซื้อข้าวกินที่นั่นเลย ตำรวจทางหลวงสองนายจึงช่วยกันอุ้มท่านพระครูไปยังรถขนอิฐ ให้ท่านนั่งหน้าคู่กับคนขับ ท่านพระครูยังคงใช้มือซ้ายจับศีรษะไว้อย่างนั้น
รถขนอิฐแล่นออกไปแล้ว ตำรวจสองนายจึงเดินไปยังรถที่ถูกชน จัดการนำร่างของคนขับรถออกมา ครั้นจับชีพจรดูจึงรู้ว่ายังไม่ตาย
"พาส่งโรงพยาบาลกันดีกว่า"
"ลองไปดูอีกคนซิ เผื่อจะยังไม่ตาย"
ผลปรากฏออกมาว่าคนทั้งสองคนเพียงแต่สลบไป จึงช่วยกันอุ้มมาใส่รถแล้วลองสตาร์ทดู ก็ปรากฏว่ารถติดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตำรวจสองคนมิรู้ดอกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวเนื่องมา จากกรรมของท่านพระครูเอง เจ้ากรรมนายเวรของท่านต้องการให้ท่านได้มีโอกาสชดใช้กรรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นต่างหาก
รถขนอิฐแล่นปุเลง ๆ ไปตามถนน ความที่เป็นรถเก่าและฝาจุกหม้อน้ำก็หายไปนายแล้ว เจ้าของจึงใช้ผ้าขี้ริ้วมาอุดแทน เมื่อรถแล่นไปได้หน่อยหนึ่ง เครื่องซึ่งเก่ามากก็เริ่มร้อน หม้อน้ำกำลังจะเดือด ครั้นพอถึงหน้าวิทยาลัยเกษตรกรรม มีเสียงดังขึ้นว่า
"สมน้ำหน้า เดี๋ยวกูจะซ้ำ" สิ้นเสียง น้ำในหม้อน้ำก็พุ่งขึ้นมาราดศีรษะและเนื้อตัวของท่าน คนขับคิดว่าหากหยุดรถอาจจะทำให้ท่านถึงแก่มรณภาพ จึงขับต่อไปโดยไม่สนว่าน้ำร้อนจากหม้อน้ำจะพุ่งมาลวกพระภิกษุผู้โชคร้ายกลายเป็นกรรมซ้อนกรรม จากการกระทำของท่านเอง!
ขณะถูกน้ำเดือดลวกศีรษะและใบหน้า ภาพหัวเต่าสามหัวก็ปรากฏขึ้นในมโนนึกของท่านสมภารวัดป่ามะม่วง
"สมน้ำหน้าอยากต้มเรา" เสียงนั้นทำให้ท่านนึกถึงวีรกรรมที่สร้างไว้ตอนเรียนอยู่มัธยมสอง นั่นคือรับจ้างต้มเต่าได้ค่าจ้างหนึ่งบาท บัดดลความสงสัยก็ก่อตัวขึ้น ท่านรับจ้างต้มเต่าเจ็ดตัว ทำไมหัวเต่าจึงมาปรากฏให้เห็นเพียงสามหัว แล้วเต่าที่ท่านต้มก็เป็นเต่าตัวเล็ก ๆ แต่ทำไม่เจ้าสามหัวที่ปรากฏจึงใหญ่นัก เหมือนมันจะอ่านใจท่านออก จึงบอกว่า "ไอ้สี่ตัวมันตายไปตั้งแต่ยังไม่ทันโต แล้วท่านก็ใช้หนี้มันไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ แต่สำหรับเราสามตัว เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปจนโตใหญ่ด้วยความยากลำบาก ในครั้งนั้นเราจึงไม่ถือว่าท่านกับเราหมดหนี้กัน เพราะคราวนั้นมันแค่เงินต้น ส่วนคราวนี้เป็นดอกเบี้ย ท่านอย่าลืมนะ กรรมก็ต้องมีดอกเบี้ย แล้วการใช้หนี้กรรมก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ครั้งเดียวจะหมด เหมือนท่านยืมเงินเขามาแล้วผ่อนใช้คืนนั่นแหละ"
เมื่อรถขนอิฐแล่นมาถึงโรงพยาบาล น้ำในหม้อน้ำก็พุ่งออกมาหมดหม้อพอดี ช่วยล้างหน้าล้างเลือดให้ท่านเสร็จสรรพด้วยน้ำเดือดเป็นการฆ่าเชื้อโรคไปในตัว
บุรุษพยาบาลนำรถเข็นมารับผู้ป่วย ช่วยกันอุ้มท่านมานอนในรถเข็น นายแพทย์สมมิ่งส่งหมอหนุ่ม ๆ มาตรวจดูอาการแล้วสั่งให้เข็นรถเข้าไปในห้องไอซียู สักพักหนึ่ง ตัวเขาก็ตามเข้าไปสั่งให้เอกซเรย์และเย็บแผลที่ศีรษะ
"เสร็จแล้วก็ส่งกลับวัด เดี๋ยวผมจะให้คนไปว่าจ้างปี่พาทย์มอญมาบรรเลงในงานสวดพระอภิธรรมศพ" แล้วเขาก็อธิบายให้หมอหนุ่มฟังว่า คอของท่านขาดแล้ว ต่อไม่ได้ ต้องมรณภาพแน่นอนถ้อยคำที่หมอพูดกัน ท่านพระครูตั้งสติกำหนด 'เสียงหนอ' ที่ลิ้นปี่จึงรู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกันบ้าง แต่กระนั้นก็ได้ยินแว่ว ๆ ไม่ชัดเจนนัก ได้ยินที่ลิ้นปี่ไม่ใช่ที่หู
หลังจากเอกซเรย์และหมอหนุ่มเย็บแผลเสร็จแล้ว บุรุษพยาบาลสองคนก็ไสรถเข็นออกจากห้องไอซียู ความรีบทำให้ล้อรถเข็นตกลงไปในร่องประตูเหล็ก คอท่านติดกันเสียงดังกึ๊บ ทันทีที่คอติดกัน ท่านก็รู้สึกตัว ปวดที่ก้นอย่างรุนแรง ความรู้สึกกลับเข้าที่ อายตนะภายในทั้ง ๖ ทำหน้าที่ได้อย่างปกติ เมื่อหายใจทางสะดือไม่ได้ ก็จะหายใจทางจมูก แต่ในจมูกมีแต่เสมหะจึงทำให้อึดอัดหายใจไม่ออกท่านก็ดิ้นโครม ๆ หมอหนุ่มจึงเอาเครื่องมาดูดเสมหะออก จึงสามารถหายใจได้ ครั้นอายตนะภายในทั้ง ๖ ทำหน้าที่ได้แล้ว ลิ้นปี่ก็หยุดทำงาน
ตอนรับรู้ที่ลิ้นปี่ ท่านไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่พอลิ้นปี่หยุดทำงาน ท่านกลับรู้สึกปวดที่ก้นเพราะเส้นประสาทคอกับก้นติดกัน ท่านไม่ปวดคอแต่กลับไปปวดที่ก้น นึกถึงพวกทหารญี่ปุ่นที่ไม่ยอมให้ใครตีก้น คงกลัวจะไปทำให้เป็นอัมพาตนั่นเอง เวลาคนหกล้มก้นกระแทกพื้นอย่างแรงทำให้กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตก็คงมาจากสาเหตุเดียวกันนี้ คนโบราณเขาถึงห้ามตีก้นเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ บางคนไม่เข้าใจ เห็นเด็กหน้าตาน่ารัก เกิดมันเขี้ยวเลยตีก้นเสียงดังเพียะ ๆ ไปตีถูกเส้นประสาทเข้า เด็กก็เลยเลี้ยงไม่โตไปเลย
"ปวด ปวดเหลือเกิน" ท่านเปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก
"อ้าว หลวงพ่อฟื้นแล้ว เห็นไหมเพราะฝีมือผมสองคนเชียวที่ทำให้หลวงพ่อไม่ตาย ถ้าผมไม่ทำรถตกร่อง หลวงพ่อจะฟื้นหรือ" บุรุษพยาบาลพูดเอาบุญเอาคุณ
"นั่นสิ สงสัยหลวงพ่อจะต้องให้รางวัลเราสองคนแล้วได้ข่าวว่าหลวงพ่อมีพระสมเด็จไม่ใช่หรือ ของให้ผมคนละองค์นะครับนึกว่าเป็นค่าจ้างทำให้หลวงพ่อฟื้น ตายแล้วฟื้นนี่ท่าทางจะดังไปทั่วโลกเลยนะครับ" บุรุษพยาบาลอีกคนพูดจ้อย ๆ
"ตกลง อาตมาจะให้ แต่ทำยังไงจะให้หายปวดตูด เอ๊ย หายปวดก้นล่ะ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่ใช่หมอ เอาอย่างนี้นะครับ ผมจะพาหลวงพ่อกลับไปที่ห้องไอซียูและเรียนให้หมอสมมิ่งทราบ หมอเขาคงช่วยหลวงพ่อได้" ว่าแล้วก็ไสรถเข็นกลับไปยังห้องไอซียู
ระหว่างที่รอนายแพทย์สมมิ่ง ท่านพระครูต้องทนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จนต้องยกมือข้างที่ดีขึ้นประนมและอธิษฐานว่า "เจ้าประคุณเอ๋ย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังใช้หนี้มนุษย์ไม่หมด ขอให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใช้หนี้มนุษย์ให้หมดไป ข้าพเจ้าจะไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว เพราะโลกมนุษย์นั้นมีแต่โรค โรคขี้เกียจ โรคขี้โกง โรคขี้อิจฉา โรคริษยา ข้าพเจ้าจึงไม่ขอกลับมา แต่ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้มนุษย์หมดแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าไปเลย อย่าให้ต้องเจ็บปวดทรมานอยู่อย่างนี้ เทวทูตทั้งหลาย ท้าวเวสสวัณ ถ้าท่านเห็นดีด้วยกับคำอธิษฐานนี้ก็ขอให้ดำเนินการทันที"
ชะรอยจิตที่อธิษฐานนั้นจะมีพลังแรงมาก ยมบาลสองตนจึงมาปรากฏต่อหน้าและตัดพ้อต่อว่า "พระคุณเจ้าทำให้ผมลำบากใจเสียแล้ว อย่าว่าแต่จะช่วยพระคุณเจ้าได้เลย ขนาดแม่ยายของผม ผมยังช่วยไม่ได้ แม่ยายผมแกเที่ยวไปคุยโวโอ้อวดว่าแกไม่กลัวตกนรก เพราะลูกเขยเป็นยมบาล แต่พอตายก็ตกนรกทันที ผมพาแกไปหาพญายมราชให้ช่วย ท่านก็บอกว่าช่วยไม่ได้ ใครทำกรรมคนนั้นก็ต้องรับ แต่สำหรับพระคุณเจ้า ผมจะลองไปกราบทูลท่านพญายมราชดูว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่" เขาหายไปประเดี๋ยวหนึ่งท่านพระครูกับยมทูตอีกตนกำลังรอคำตอบ แล้วเขาจึงมาบอกว่า
"ท่านพญายมราชเห็นด้วยกับคำอธิษฐานของพระคุณเจ้าขอรับ"
"เห็นด้วยว่าอย่างไร ตกลงท่านจะให้อยู่เพื่อใช้หนี้มนุษย์ให้หมด หรือว่าจะให้อาตมาไปอย่างไม่ต้องทุกข์ทรมาน" ท่านถาม
"ไม่ทราบครับ" คือคำตอบ
"ไม่ทราบแล้วอาตมาจะรู้ได้อย่างไงล่ะ ช่วยไปถามให้ใหม่ได้ไหม"
"ได้ครับ แต่ผมกลัวจะถูกท่านตำหนิติเตียนว่าทำงานไม่รอบคอบ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะให้เพื่อนไปถามแทน ท่านช่วยไปถามแทนผมหน่อยนะ" เขาวานเพื่อนยมบาลด้วยกัน
"ท่านก็อย่างนี้ทุกที ทำอะไรไม่เคยรอบคอบ แล้วก็ต้องมาเดือดร้อนผม" เขาต่อว่า กระนั้นก็ยอมไปแต่โดยดี สักครูก็มารายงานท่านพระครูว่า
"ตกลงท่านเห็นด้วยที่จะให้พระคุณเจ้ามีอายุยืนยาวต่อไปเพื่อใช้หนี้มนุษย์ให้หมด ฉะนั้นท่านจะต้องทนปวดก้นต่อไปอีก" คำตอบของยมบาลทำให้ท่านพระครูรู้สึกปวดที่ก้นมากขึ้นอีกสักร้อยเท่า ปวดจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดนั่นเทียว
วัฏจักรชีวิต
ประพันธ์โดย สุทัสสา อ่อนค้อม