วัฎจักรชีวิต บทที่ 2
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2010-01-29 15:47:19
บทที่ ๒ เหนือฟ้ายังมีฟ้า
นายแพทย์สมมิ่งไม่ยอมเชื่อว่าท่านพระครูจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพราะตั้งแต่เขาเรียนจบ และทำงานมาจนกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้ ยังไม่เคยพบเลยว่าคนไข้ที่คอหักสามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้บุรุษพยาบาลสองคนจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่เชื่อ จนคนทั้งสองรู้สึกอ่อนใจ
"คุณหมอจะเถียงกันอีกนานไหม อาตมาปวดก้นจะแย่อยู่แล้ว" คนเจ็บอุทธรณ์ ท่านอยากจะใช้คำว่า 'ปวดตูด' เพราะมันสื่อความหมายได้ตรงกับอาการ แต่คำหลังถือว่าเป็นคำไม่สุภาพท่านจึงต้องเลือกมาใช้คำแรก เคยได้ยินเด็กเลี้ยงควายสองคนมันเถียงกัน ท่านยังจำได้ไม่ลืมเลือน
'เฮ้ยเอ็งว่าตูดกับก้นเหมือนกันไหมวะ'
'เอ็งว่าเหมือนหรือเปล่าล่ะ'
'ไม่เหมือน'
'แต่ข้าว่าเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ก้นฟังดูสุภาพกว่า'
'ไม่เหมือน ยังไง ๆ ก็ไม่เหมือน'
'เอ็งมีหลักฐานอะไร'
'หน้าที่ของมันไงล่ะ ตูดกับก้นมันทำหน้าที่ต่างกัน'
'ต่างกันยังไง'
'อ้าว ก็ตูดมีไว้ขี้ ก้นมีไว้นั่ง ต่างกันแค่นี้เอง เรื่องกล้วย ๆ ก็ไม่รู้'
พอนึกไปถึงความหลัง อาการปวดดูจะทุเลาเบาบางลง แต่พอเลิกนึก มันก็กลับมาอีก ปวด...ปวดจนสุดจะทานทน ครั้นจะกำหนด 'ปวดหนอ' ก็กลัวจะชดใช้กรรมได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยทางที่ดีให้หมอช่วยด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์จะเหมาะกว่า
"คุณหมอ อาตมาปวดก้น" ท่านบอกหมออีก
"ปวดตอนไหน ผมหมายถึงว่าตอนพามาส่งโรงพยาบาลหรือมาปวดตอนถึงโรงพยาบาลแล้ว"
"ปวดตอนที่คอมันติด พอรถตกร่องปุ๊บ คอมันก็ติดปั๊บอาตมาก็ปวดขึ้นมาทันที" ท่านตอบชัดถ้อยชัดคำ
"ตอนมาโรงพยาบาลไม่ปวดหรือ"
"ไม่ปวด ตอนนั้นอาตมาไม่รู้สึกปวดเลย มันเหมือนกับเบลอ ๆ ไม่รู้สึกตัว ถ้ารู้สึกเจ็บปวดตอนนั้นคงแย่ เพราะน้ำจากหม้อน้ำมันพุ่งขึ้นมารดอาตมาคงจะปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว แต่มันก็แปลกนะคุณหมอ อาตมารับรู้ที่ลิ้นปี่ แล้วก็หายใจทางสะดือได้"
"ใครบอกหลวงพ่อ"
"สติบอก ตอนนั้นไม่มีใครอยู่กับอาตมานอกจากสติสัมปชัญญะ"
"สงสัยหลวงพ่อจะปวดมากจนเพ้อ ถึงได้พูดอะไรแปลก ๆ มีอย่างที่ไหน คนหายใจทางสะดือได้ มันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ที่ผมเรียนมา" หมอวัยกลางคนเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิด
"อาตมาไม่ได้เพ้อและอาตมาก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา อาตมารู้นะว่าคุณหมออยากให้อาตมาตาย เพราะมันจะได้ตรงกับทฤษฎีที่คุณหมอเรียนมา แต่อาตมาจะบอกคุณหมอว่าอาตมาจะยังไม่ตาย จะไม่ยอมตายตอนนี้"
"เป็นไปไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ก็ผลเอ็กซเรย์ออกมาว่าหลวงพ่อกระดูกคอขาดแล้ว จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร" นายแพทย์วัยกลางคนรู้สึกสับสน ถ้าท่านพระครูไม่มรณภาพก็แสดงว่า สิ่งที่เขาเรียนมานั้นไม่ถูกต้อง
"หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก" หากท่านพระครูตอบว่า "เพราะพญายมราชเห็นดีด้วยกับคำอธิษฐานของอาตมา" ก็จะทำให้นายแพทย์ผู้นี้รู้สึกขัดเคืองหนักขึ้น ดีไม่ดีเขาจะหาว่าท่านวิกลจริต จึงตอบเสียใหม่ด้วยทฤษฎีที่ท่านรู้มาใหม่ ๆ สด ๆ ว่า
"เพราะอาตมารู้สึกปวดน่ะสิ ถ้าปวดแปลว่าไม่ตาย ถ้าไม่ปวดแปลว่าตาย คุณหมอจำไว้เลยนะ ถ้าคนป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตมาให้รักษา ถ้ารักษาแล้วเขาเกิดปวดขึ้นมาก็แปลว่าจะหายแต่ถ้าเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไรก็แสดงว่าไม่หาย" ท่านเผยแพร่ทฤษฎีใหม่ให้คนเป็นหมอ เป็นทฤษฎีที่ท่านได้มาโดยมิต้องเรียน นายแพทย์สมมิ่งไม่ยอมรับทฤษฎีของท่าน เขาพูดขึ้นว่า "หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคอติดแล้ว แค่ล้อรถตกร่องมันจะทำให้คอติดได้เชียวหรือ ผมไม่อยากจะเชื่อ" บุรุษพยาบาลซึ่งยืนฟังมานาน จึงได้โอกาสพูดว่า
"ก็ลองเอ็กซเรย์ดูอีกทีซีครับท่าน ผอ. จะได้รู้ว่ากระดูกคอท่านติดกันหรือไม่ มัวเถียงกันอย่างนี้คงตัดสินยาก"
"งั้นก็นำท่านเข้าไปห้องเอกซเรย์เลย" ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสั่ง คิดว่าหากเถียงกับท่านต่อไป เขาอาจจะต้องจนมุมทำให้อับอายขายหน้าลูกน้องเปล่า ๆ
ผลการเอกซเรย์ปรากฏว่ากระดูกคอของท่านพระครูติดกันแต่จะต้องเข้าเฝือกให้มันประสานกันดีดัง เดิม อย่างน้อย ๆ ท่านก็จะต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน นายแพทย์สมมิ่งเพิ่งค้นพบความรู้ใหม่ว่าการทำล้อรถเข็นตกลงไปในร่องประตูเหล็ก จะช่วยให้กระดูกคอที่หักไปแล้วกลับมาติดกันได้ แต่คงจะมีรายเดียวในโลกและเขาก็จะไม่นำวิธีการดังกล่าวนี้ไปใช้กับคนไข้รายอื่นอีก เพราะอาจจะไม่โชคดีอย่างรายนี้
"หลวงพ่อต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลนานหน่อยนะครับ เพราะต้องใช้เวลารักษานานกว่าจะหายเป็นปกติ แต่จะปกติเหมือนเดิมหรือไม่ ผมก็ยังไม่ทราบ" นายแพทย์ตอบ อดมิได้ที่จะเผยทีท่าออกมาว่าถึงอย่างไรเขาก็เชื่อถือวิทยาศาสตร์มากกว่า
"จะให้อาตมาอยู่ห้องไอซียูนี่นะ"
"ไม่หรอกครับ ผมต้องให้หลวงพ่ออยู่ห้องพิเศษ หลวงพ่อโชคดีนะครับ เพราะการจะได้ห้องพิเศษที่นี่ต้องจองกันเป็นเดือนเลย แต่หลวงพ่อมาวันนี้ก็ได้วันนี้ เพราะเมื่อเช้าคนไข้กลับบ้านไปรายนึง"
"บ้านเขาอยู่อำเภออะไรหรือคุณหมอ" ท่านถามไปอย่างนั้นเอง เพราะการได้พูดทำให้ลืมความปวดไปได้ชั่วครู่ชั่วยาม
"ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า บ้านเขาอยู่อำเภออะไร เพราะเมื่อเช้าเขาไม่ได้กลับบ้านเขา แต่เขากลับบ้านเก่าน่ะครับ" หมอสมมิ่งตอบรู้สึกสะใจที่ได้แกล้งท่าน
"งั้นที่คุณหมอให้อาตมาไปพักห้องนั้นก็ต้องคิดว่าอาตมาจะต้องกลับบ้านเก่าอีกรายใช่ไหม" ท่านรู้เท่าทันความคิดของหมอใหญ่
"หลวงพ่อจะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่ความจริงมีห้องว่างห้องเดียวจริง ๆ แต่ผมก็ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจสักเท่าไร ต้องรอดูอาการกันก่อนว่าจะถึงกับต้องกลับบ้านเก่าหรือไม่"
"คุณหมอจะไม่ช่วยฉีดยาแก้ปวดให้อาตมาสักสองเข็มหรืออาตมาปวดก้นจริง ๆ นะ ไม่ได้แกล้งปวด" ท่านทวงเพราะเกรงว่านายแพทย์สมมิ่งจะลืม
"เข็มเดียวก็พอครับหลวงพ่อ" หมอใหญ่ค้าน
"แต่อาตมาปวดมากกว่าปกตินะ แล้วอีกอย่างนึง อาตมาเป็นคนจิตแข็ง เข็มเดียวอาจจะไม่ได้ผล" ท่านต่อรอง
"ก็ถ้าฉีดยาแล้วหลวงพ่อหายปวด แสดงว่าจะไม่หายน่ะสิครับ เมื่อกี้หลวงพ่อยังพูดเลยว่าถ้าปวดแสดงว่าจะหาย ถ้าไม่ปวดไม่หาย" หมอสมมิ่งถือโอกาส 'แก้แค้น'
"ถ้าคุณหมออยากรู้ก็ต้องลอง ไม่ลองไม่รู้ ตกลงนะ"
"ตามใจ หลวงพ่อจะเอาอย่างนั้นก็ตามใจ ประเดี๋ยวผมจะสั่งนางพยาบาลฉีดให้" นายแพทย์ผู้อำนวยการพูดอย่างออกจะรำคาญ
"ขอเป็นบุรุษพยาบาลเถอะคุณหมอ อาตมาเป็นบรรพชิตผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ ฉะนั้นคุณหมอต้องจัดบุรุษพยาบาลมาทำหน้าที่แทนนางพยาบาล"
"แหม พระองค์นี้ยุ่งจริง ๆ เป็นพระไม่น่าจะเรื่องมาก" หมอสมมิ่งคิดในใจ แต่ปากกลับพูดว่า
"บุรุษพยาบาลเราไม่ได้ฝึกมาทางนี้ครับหลวงพ่อ เขาอาจทำได้ แต่ก็คงไม่ดีเท่านางพยาบาล ไหน ๆ หลวงพ่อก็เป็นบรรพชิตน่าจะปล่อยวางเสียบ้าง ถ้าจู้จี้จุกจิกมากไป คนดูแลเขาก็จะลำบากใจ" เมื่อถูกหมอว่าอย่างนี้ คนไข้เลยเถียงไม่ออก ท่านไม่ได้ตั้งใจจะจุกจิกจู้จี้ เพียงแต่อยากจะคุยเพื่อให้ความปวดทุเลาลง และการที่ท่านต้องการให้ฉีดยาแก้ปวด ก็เพื่อจะพิสูจน์ว่าระหว่างยากับจิตของท่าน อย่างไหนจะมีพลังมากกว่ากัน
นายแพทย์สมมิ่งเรียกพยาบาลสองคนมาสั่งการ และบอกให้เช็คกำลังขาของท่านด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะเป็นอัมพาตด้วยหรือเปล่า
ฉีดยาให้ท่านสองเข็มแล้ว พยาบาลจึงบอกท่านว่า
"หลวงพ่อ หนูขอเช็คกำลังขาของหลวงพ่อหน่อย"
"จะเช็คด้วยวิธีใดล่ะ" ท่านถาม
"ให้หลวงพ่อลองถีบหนู เดี๋ยวหนูจะยืนที่ปลายเท้าหลวงพ่อแล้วหลวงพ่อถีบสุดแรงเลยนะ ถีบตรงเอวหนูนี่ เดี๋ยวหนูจะยืนหันหลังให้หลวงพ่อถีบ" ท่านพระครูเหลือบตาขึ้นดูเอวหล่อน ซึ่งหากวัดดูก็คงไม่ต่ำกว่า ๔๐ นิ้วแล้วถามว่า
"จะให้อาตมาถีบเท้าเดียวหรือสองเท้า"
"สองเท้าเลยค่ะ"
"อย่าเลย เอาทีละเท้าดีกว่าเพราะอาตมาแรงมาก" แล้วท่านจึงใช้เท้าข้างซ้ายพุ่งไปที่เอวของพยาบาลสาวใหญ่ แต่ไม่ถึงกับสุดแรงด้วยเกรงหล่อนจะเจ็บมากเกินไป ร่างท้วมของสาวใหญ่เซแซ่ด ๆ ไปปะทะผนังตึก ตั้งหลักได้แล้ว หล่อนจึงหันมาบอกท่านว่า "แหม หลวงพ่อแรงเยอะจัง อย่างนี้ไม่เป็นอัมพาตแน่"
"นี่ขนาดเท้าเดียวนะ ถ้าสองเท้ารับรองโยมทะลุผนังตึกไปแล้ว" ท่านถือโอกาสคุย
"งั้นลองอีกเท้า นี่เธอช่วยหันหลังมาให้ท่านถีบหน่อย" หล่อนบอกเพื่อนที่มีหุ่นและวัยใกล้เคียงกัน
"หลวงพ่อไม่ต้องสุดแรงก็ได้" เพื่อนหล่อนบอกเพราะนึกกลัว
"งั้นก็เบา ๆ แล้วกัน" ท่านบอกแล้วจึงพุ่งเท้าขวาไปด้วยความแรงเท่ากับครึ่งหนึ่งของเท้าซ้าย กระนั้นก็ทำให้ร่างท้วมเซไปชิดกับผนังตึก หมอสมมิ่งออกผิดหวังที่เห็นท่านมีกำลังวังชาดีกว่าคนที่ไม่ป่วยบางคนเสียอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายแพทย์วัยกลางคนเริ่มจะยอมรับความจริงที่ว่า 'เหนือฟ้ายังมีฟ้า'
วันนี้เขาพาครอบครัวไปถวายเพลร่วมกับนายแพทย์สิงห์พลที่มาจากศิริราช ท่านบอกว่าท่านจะต้องเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตอนเที่ยงสี่สิบห้า เขาไม่เชื่อเพราะมันขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ พอเลี้ยงเพลเสร็จเขาก็พาครอบครัวไปส่งที่บ้าน แล้วก็มาทำงานที่โรงพยาบาลและก็ได้พบว่าท่านได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักจริง กระนั้นเขาก็ยังไม่เชื่อว่าท่านจะรู้ล่วงหน้าได้ มันคงเป็นความบังเอิญมากกว่า แต่เมื่อมาพบอะไร ๆ ที่ไม่ตรงกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยเรียนมา เขาก็ชักจะยอมรับนับถือท่าน บางทีท่านอาจเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ฉะนั้นถ้าเขาคิดไม่ดี ทำไม่ดีกับท่าน ก็มีแต่บาปกับบาปเท่านั้น ทางที่ดีจะต้องเอาทฤษฎีที่เขาเรียนมานั้นใส่วงเล็บไว้ก่อน แล้วตั้งหน้าตั้งตาดูแลรับใช้ท่านให้ดีที่สุด เผื่อผลบุญจะหนุน ส่งให้เป็นอธิบดีกรมการแพทย์ในอนาคต
คิดได้ดังนี้ เขาจึงพูดกับท่านด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพนับถือนบนอบว่า "หลวงพ่อหายปวดที่ก้นหรือยังครับ"
"ยังไม่หายเลยคุณหมอ ยังปวดเหมือนเดิมทุกประการสงสัยยาจะหมดอายุกระมัง" ท่านสันนิษฐาน
"ไม่หมดหรอกครับหลวงพ่อ เพราะเพิ่งสั่งมาใหม่ ๆ และหลวงพ่อเป็นคนไข้รายแรกที่ใช้ เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมจะฉีดยานอนหลับให้หลวงพ่อ พอหลับจะไม่รู้สึกว่าปวด" เขาเสนอวิธีใหม่ ทั้งที่รู้สึกข้องใจว่าเหตุใดยาแก้ปวดจึงไม่ทำงาน
"ตกลงจะลองฉีดดูก็ได้ แต่อาตมากลัวจะไม่ได้ผลอีก แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ จริงไหมคุณหมอ"
"จริงครับหลวงพ่อ" หมอสมมิ่งรีบรับรองแล้วจึงบอกให้นางพยาบาลฉีดยานอนหลับให้ท่านหนึ่งเข็ม
"เดี๋ยวผมจะพาหลวงพ่อไปส่งที่ห้องนะครับ จะนั่งคุยเป็นเพื่อนจนกว่าหลวงพ่อจะหลับ"
"อย่าเลย อาตมาเกรงใจ เดี๋ยวคนไข้รายอื่นเขาจะรอนานประเดี๋ยวลูกศิษย์อาตมาคงจะพากันมา" พูดยังไม่ทันขาดคำ นายสมชายกับนายขุนทองก็พาแม่จวนกับโยมเตียงเข้ามา พอเห็นหน้าพระลูกชาย แม่จวนก็นถามอย่างอาทรว่า
"ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า"
"ไม่เจ็บตรงไหนหรอกจ๊ะโยมแม่ แต่ปวดตรงก้น อาตมาคิดถึงโยมแม่มากตอนที่นอนอยู่กลางถนน คิดถึงหลวงพ่อด้วย" ท่านหมายถึงพระภิกษุพอง โยมบิดาที่เพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่นานมานี้
"แล้วจะให้โยมช่วยอะไรบ้าง"
"ไม่เป็นไรจ้ะโยมแม่ คุณหมอเขาฉีดยาแก้ปวดกับยานอนหลับให้แล้ว ประเดี๋ยวก็คงค่อยยังชั่วขึ้น" ท่านพูดให้โยมมารดาสบายใจ
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณป้า ตอนนี้หลวงพ่อท่านปลอดภัยแล้ว ผมกำลังจะพาท่านไปพักห้องพิเศษ คงต้องอยู่โรงพยาบาลหลายวัน แล้วผมจะดูแลท่านอย่างดีที่สุด" นายแพทย์สมมิ่งบอกกับแม่จวน
"ถ้าเช่นนั้นโยมจะมาเฝ้าไข้ท่านเอง" แม่จวนบอกพระลูกชาย "ฉันก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่จวนเขาจ๊ะ" โยมเตียงขันอาสา
"แล้วใครจะขายของให้โยมล่ะ ต้องขายของทุกวันไม่ใช่หรือ" ท่านถาม โยมเตียงมีร้านขายของชำอยู่ในตลาดสิงห์บุรี
"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันให้เฮียคุมลูกน้องขายก็ได้" นางบอก
"เดี๋ยวไปคุยต่อที่ห้องพิเศษดีไหมครับ ที่นั่นจะสะดวกกว่า" นายแพทย์สมมิ่งพูดอย่างเกรงใจ แล้วจึงสั่งให้บุรุษพยาบาลนำท่านไปยังห้องพิเศษ ตัวเขาก็เดินตามไปพร้อมด้วยพยาบาลสองคน นายสมชายกับนายขุนทองก็พาแม่จวนกับโยมเตียงตามไป นายขุนทองอยากจะพูดใจแทบขาด หากก็ยังไม่สบโอกาส
บุรุษพยาบาลช่วยกันอุ้มท่านขึ้นจากรถเข็นมานอนบนเตียงคนไข้ จากนั้นจึงพากันออกจากห้องไปเพราะหมดหน้าที่แล้ว อยากจะบอกท่านเรื่องที่ขอพระสมเด็จไว้ หากไม่กล้า ท่านพระครูจึงบอกเขาว่า
"อาตมาไม่ลืมสัญญาแน่ เดี๋ยวจะสั่งให้ลูกศิษย์เขาเอามาให้" บุรุษพยาบาลจึงออกจากห้องไปด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น
"หลวงพ่อรู้สึกง่วงบ้างหรือยังครับ" นายแพทย์สมมิ่งถามรู้สึกแปลกใจที่ยานอนหลับไม่ทำหน้าที่
"ไม่รู้สึกง่วงเลยคุณหมอ ตอนนี้อาตมารู้สึกอยู่อย่างเดียวคือ รู้สึกปวดที่ก้น" ท่านตอบ บัดนี้ท่านรู้แล้วว่าพลังยานั้นขลังสู้พลังจิตไม่ได้
"แปลกนะครับ ทำไมกับหลวงพ่อยาจึงไม่ออกฤทธิ์ แล้วนี่ผมจะช่วยหลวงพ่อได้ด้วยวิธีใด" หมอหนุ่มใหญ่รู้สึกจนปัญญา
"ไม่มีวิธีใดที่จะช่วยอาตมาได้หรอกคุณหมอ เพราะอาตมาไม่ได้เป็นโรคธรรมดา แต่เป็นโรคที่พิเศษกว่าโรคธรรมดา"
"โรคอะไรครับ" หมอใหญ่รู้สึกว่าท่านพูดแปลก ๆ
"โรคกรรมไงล่ะ ถ้าเป็นโรคธรรมดาพอมีทางรักษาให้หายได้แต่โรคกรรมไม่มีทางรักษา ต้องทนไปจนกว่าจะหมดกรรม"
"แล้วเมื่อไรหลวงพ่อจะหมดกรรมครับ ผมหมายถึงว่าจะหายปวดที่ก้น"
"อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรเขาถ้าเขาอโหสิกรรมให้ อาตมาก็จะหายปวด แต่ถ้าเขาไม่อโหสิกรรมก็ต้องปวดต่อไป เอาเป็นว่าถ้าหายปวด อาตมาจะเรียนให้คุณหมดทราบ อย่างนี้ดีไหม"
"แหม หลวงพ่อยิ่งพูดผมก็ยิ่งงง เพิ่งจะได้ยินว่ามีโรคชนิดใหม่เกิดขึ้น คือโรคกรรม ผมเรียนหมอมาหกปี เป็นแพทย์ฝึกหัดอีกหนึ่งปี ไม่เคยได้ยินว่ามีโรคนี้เลย แล้วก็ไม่มีในตำราเล่มไหนอีกด้วย"
"แต่จะมีในตำราของอาตมา อาตมาจะไปเขียนเป็นตำราแล้วจะนำไปเผยแพร่ให้ดังไปทั่วโลกเลย อันที่จริงโรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่หรอกนะคุณหมอ จะว่าไปแล้วมันมีมาก่อนโรคใด ๆ ทั้งหมด เพียงแต่คนไม่รู้จักเท่านั้นเอง"
"หรือครับ ถ้าอย่างนั้นเอาไว้หลวงพ่อเขียนเป็นตำราแล้วผมค่อยขออนุญาตมาศึกษากับหลวงพ่อก็แล้วกันนะครับ" เขาถือโอกาสฝากเนื้อฝากตัว
"ตกลง อาตมาเต็มใจที่จะถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับคุณหมอรอให้อาตมาหายดีเสียก่อน เชิญคุณหมอไปดูคนไข้รายอื่นเถอะ ไม่รู้ว่าเขานำโชเฟอร์กับโยมที่นั่งรถมากับอาตมามาที่นี่หรือเปล่า ถ้ายังไงจะขอความกรุณาคุณหมอช่วยดูให้ด้วย"
"จริงสิ ผมก็ลืมไป งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ" พูดจบก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาลทั้งสองคน
ทันทีที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลออกไป นายขุนทองก็โผเจ้ามาซบที่อกท่านพระครู พลางร่ำไห้รำพึงรำพัน
"ฮือ ๆ หลวงลุงของขุนทอง คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ขุนทองห่วงหลวงลุงใจแทบขาด ไม่มีหลวงลุงซะคนนึง ชีวิตของขุนทองก็ไร้ความหมาย หลวงลุงต้องไม่ตายนะฮะ"
"เออ ข้าจะไม่ตายถ้าเอ็งไม่มาซบข้าหายใจหายคอไม่ออก สงสัยข้าจะไม่ได้ตายเพราะรถคว่ำ แต่จะตายเพราะเอ็งนี่แหละ" ท่านว่าหลานชาย ร้อนถึงนายสมชายต้องมาดึงพ่อตัวดีออกไปจากอกหลวงพ่อ
"ขุนทอง อย่าเวอร์ อย่าเวอร์" เขาใช้ศัพท์สมัยใหม่ที่แม่จวนกับโยมเตียงฟังไม่เข้าใจ ทว่าท่านพระครูเข้าใจแจ่มแจ้ง
วัฏจักรชีวิต
ประพันธ์โดย สุทัสสา อ่อนค้อม