ที่มาของหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2016-03-10 18:47:46
กาลเวลาพิสูจน์คน ...
ลู่เหยากับหม่าลี่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ลู่เหยามีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว หม่าลี่เป็นผู้น้องยังไม่ได้แต่งงาน
ลู่เหยามีฐานะยากจนขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำรวย ด้วยเหตุนี้ลู่เหยาจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอ
วันหนึ่ง ลู่เหยาบอกหม่าลี่ว่า ตนเองต้องการไปแสวงโชคต่างเมือง อยากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแลภรรยาให้ หม่าลี่รับปาก บอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
....
ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนหม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้ นำของกินของใช้ บรรทุกใส่รถม้าเต็มคันรถ นำไปให้กับภรรยาของลู่เหยา
ภรรยาของลู่เหยา จึงคิดว่า เป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว ได้รับการโอบอุ้มดูแลยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสียอีก ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วม
สาบานที่ดีเช่นนี้
....
ครึ่งปีผ่านไป เ หตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป คนรับใช้ของหม่าลี่ไม่ได้นำของไปให้ภรรยาของลู่เหยาอีกแล้ว ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว ภรรยาของลู่เหยาจึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุกอย่างถูกขายจนหมดนางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง
เนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก นางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย อาจเพราะว่านางมีฝีมือดี หรือชาวบ้านต่างสงสารนางก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาว
บ้านพากันแย่งซื้อรองเท้าของนางจนขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
....
พริบตาเดียว 10 ปีผ่านไป ลู่เหยาก็กลับมาในคืนหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรยาของตน และส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรยาของตนอีกเลย เขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
"คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป"
.....
เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหยากลับมา จึงส่งคนไปเชิญมาเลี้ยงต้อนรับ แต่ลู่เหยาปิดประตูไม่รับแขก หม่าลี่จึงไปเชิญลู่เหยา ด้วยตนเอง เขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหยาจำใจต้องไปที่
บ้านของหม่าลี่
ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหยาต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรยาของตนซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปาน หม่าลี่จึงพาลู่เหยาเข้าไปที่สวนดอกไม้หลังบ้าน เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่ง
ออก และเชิญลู่เหยาเข้าไป ลู่เหยาตกตะลึงจนตาค้าง เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด ลู่เหยาเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออกจากประตูด้วยความละอายใจ และก้มลงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหม่าลี่
...
หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหยาลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
"เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์ แต่อีกใจก็คิด
ว่าเมื่อนางได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไร อาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหา ให้นางเสียชื่อเสียง แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่างไร แต่ก้อน่านับถือท ี่พี่สะใภ้รู้จักทำมาหากินด้วยความสามารถของนางเอง สมกับที่ข้าได้ตั้งใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้อรองเท้าที่นางทำขายทุกครั้งไป"
...
ลู่เหยาได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นานสักพักจึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า
"ลู่เหยา (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่(กำลังของม้า) กาลเวลาพิสูจน์ใจคน"
คำกล่าวจีนที่ว่า "หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณานี้มองเห็นว่าการที่เราจะรู้อุปนิสัยใจคอของใครอย่างแท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง
.....
บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว
ที่มา : หนังสือคำแสลงจีน ของจุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์
บทความจาก : เรื่องดีๆ มีข้อคิด
ภาพ : http://www.bloggang.com/data/dingtech/picture/1291122245.jpg