www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

รหัสลับ จากไซอิ๋ว ในมุมมองโปรแกรมเมอร์
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-12-22 14:02:35


Programmer มักเห็นโลกในมุมที่แตกต่างจากปกติ


        ผมเชื่อว่ากระบวนทัศน์ที่เหล่า programmer มองโลกใบนี้มีความแตกต่างจากผู้คนในสังคมอยู่พอ สมควรครับ และนั่นคือ จุดที่ดีที่สุดที่ผมค้นพบในชีวิตของผม…

 

          เมื่อครั้งที่ซุนหง่อคงพบพระยูไล (พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งตามคติพุทธผ่ายมหายาน) และซุนหง่อคงอวดความสามารถโดยการตีลังกาแค่ทีเดียวก็ถึงขอบจักรวาล
 

          ทุกท่านคงคุ้นชินกับนวนิยายเรื่องไซ่อิ้วเป็นอย่างดี ผมก็เช่นกันครับเกิดและเติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวของพระถังซั่มจั๋งที่ออกเดินทางจากประเทศจีนมุ่งสู่แดนพุทธภูมิประเทศอินเดีย หรือชมพูทวีปตามที่เราได้ยินกัน
 

        ผมไม่อยากทำร้ายความฝันในวัยเด็กของใครนะครับ แต่การเดินของพระถัง ไม่ได้มี 3 ตัวละครนี้ติดตามไปด้วยจริงๆ TT^TT
 

           แต่มีรหัสลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใน Series ชุดนี้ ตัวละครทั้ง 3 เป็นตัวแทนของ ความโกรธ, ความโลภ, และ ความหลง 3 มูลเหตุแห่งกิเลสทั้งปวงที่เกิดขึ้นบนจิตใจของเรา
 

         ใน Series เราได้เห็นแล้วว่า 3 กิเลสนี้ส่งผลสร้างความวุ่นวายให้กับ พระถังซั่มจั๋งของเรามากแค่ไหน เพราะนั้นคือ สิ่งที่อยู่ในจิตใจของพระถังทั้งหมดที่ผู้แต่งพยายามสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายให้เราเห็นภาพของความวุ่นวายเหล่านี้มากยิ่งขึ้นครับ และพวกมันไม่เคยยอมอยู่ห่างจากเราเลยแม้เพียง มิลลิวินาที
 

 

          เกริ่นมาซะนานมาดูฉากสำคัญตอนหนึ่งที่ซ่อนรหัสลับเอาไว้และผมว่ามันน่าตื่นตะลึงมาก นั่นคือ ตอนที่ ซุนหง่อคงสร้างความวุ่นวายให้กับสวรรค์จนพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระนามว่าพระยูไล ที่เรารู้จักกันดี ต้องออกมาปราบพยศเสีย
 

          ซุนหง่อคงผู้ไม่ยอมใคร (เหมือนเวลาเราโกรธใครห้ามเราก็ไม่สน!!) ได้อวดกับพระยูไลว่า

          “ข้าสามารถตีลังกาเพียง 1 ตลบก็สามารถไปไกลได้ถึงขอบจักวาลเลยทีเดียว”


          พระยูไลทรงพระเมตตาทรงตอบไปว่า

         “ถ้าเจ้าสามารถตีลังกาพ้นนิ้วมือเราได้ เราจะเลิกยุ่งกับเจ้า แต่ถ้าไม่เจ้าต้องถูกลงโทษ” (น้ำเสียงราบเรียบแบบผู้ทรงชัย)
 

           ซุนหง่อคงตีลังทันทีก็ไปถึงขอบจักรวาลพบเสาหินต้นหนึ่งจึงเขียนสลักไว้บนเสาหินนั้นว่า “เห้งเจียมาเยือน” เหมือนไปเที่ยวเนอะต้องทิ้งไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นก็ตีลังกากลับมาหาพระยูไล พร้อมหัวเราะแบบผู้ชนะ เย้ยพระพุทธองค์^^
 

           พระยูไลเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วจึงตรัสกับหง่อคงไปว่า

            “ดูกร หง่อคงเจ้าได้ไปเขียนสลักชื่อของเจ้าไว้ที่เสาหินใช่หรือไม่”
 

            หง่อคง ตอบ “ใช่”

            พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า “ใช่เสาหินที่อยู่ข้างหลังเจ้าหรือไม่”
 

            หง่อคงถึงกับตะลึงเพราะ เสาหินนั้นแท้ที่จริงแล้ว คือ นิ้วของพระยูไลนั้นเอง!!
             นั่นแปลว่าทั้งหมดแล้ว หง่อคงตีลังอยู่ในผ่าพระหัตถ์ของพระยูไลเพียงเท่านั้น!!!!
 

 


รหัสลับที่ถูกซ่อนอยู่ในเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนี้

           ซุนหง่อคงเป็นตัวแทนของผู้มีอิทธิฤทธิ์ หลงในความสามารถของตนเอง ไม่ยอมก้มหัวให้กับใครแม้ผู้ที่รู้มากกว่าตน
 

          นิ้วทั้ง 5 ของพระยูไล เป็นตัวแทนของ ขันธ์ทั้ง 5 อันได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และ วิญญาน
 

          การตีลังกาของซุนหง่อคงนั้นเปรียบได้กับว่า “การพยายามใช้อวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อให้ตนได้ก้าวข้ามผ่านไปยังพระนิพพาน”
 

         ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำตนให้ก้าวผ่านขันธ์ 5 ไปได้ด้วยสิ่งของจอมปลอมทั้งหลายเพราะสิ่งทั้งหลายนั้นแท้จริงก็ถูกสร้างขึ้นมาจาก ขันธ์ 5 นั่นเอง
 

หนึ่งสิ่งที่ต้องยอมรับก่อนอื่นเลยว่า “โลกนี้ไม่ใช่ของจริง”


         ทำไมผมถึงพูดเรื่อง ขันธ์ 5 เอาใหม่ดูเป็นทางการมากไป องค์ประกอบ 5 อย่างที่ทำให้มนุษย์ต้องติดอยู่ในโลก ที่ทำให้เราตายแล้วต้องไปเกิดใหม่ ที่ทำให้เราวนเวียนไม่รู้จักจบจักสิ้นซักที

 


สมมติว่าทุกท่านเชื่อทฤษฎีข้างต้นที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้นั้นไม่ได้มีตัวตนจริงๆ เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น…

รูป

คือ สิ่งที่เราเห็นที่เรารับสัมผัสอยู่ทุกวัน รูป รส กลิ่น เสียง ทั้งหมดนี้เป็นรูป

เวทนา

คือ ความรู้สึกนั่นเองครับ ไม่ว่าจะ ชอบ ไม่ชอบ หรือ เฉยๆ

สัญญา

คือ หน่วยความจำ Harddisk ชั้นเยี่ยมที่เราพกติดตัวข้ามภพ ข้ามชาติ

ชี้ สีแดง แล้วเราบอกได้ว่านี่คือ สีแดง เพราะเราเคยทำสัญญาบันทึกไว้แล้วว่านี่สีแดงนะ แต่ถ้าชี้ให้ฝรั่งดู ฝรั่งก็คงจะต้องตอบว่า RED เพราะว่าสัญญาของเรากับของเขามันคนละชุดกัน

สังขาร

คือ ความคิด แค่นั้นแต่นี่แหละตัวปัญหาใหญ่เลย เรามักจะได้ยินคนพูดกันเสมอว่า “ร่างกายนี้ สังขารนี้ไม่เที่ยง” ทำให้เราเข้าใจว่า อ่อออ สังขารนี่แปลว่าร่างกายนะ จริงๆไม่ใช่!!! ร่างกาย จัดอยู่ใน รูป ครับ ส่วนความคิดทั้งหลายที่เราคิดขึ้นหรือรับมา ทั้งหมดเป็น สังขาร

วิญญาน

แน่นอนว่าไม่ใช่เพลงของพี่แสตมป์ แต่มันคือ หน่วยรับรู้ประมวลผลจากสิ่งที่รับผ่านเข้ามาผ่าน อายตนะทั้ง 6 (อายตนะ แปลว่า Door!! หรือ ประตู หรือ รู ครับ^^) ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ ผมเชื่อว่า Black Box จะอธิบายเรื่องวิญญานได้ดีมากครับ

 


input รับสิ่งเร้าจากภายนอกเข้ามาผ่านกระบวนการที่เราไม่รู้และส่งผลลัพท์แสดงออกมา

หากเรามองโลกทั้งใบนี้เป็น Operating System(OS) มีระบบ Management Resources จัดการ Memory สร้าง Graphic มี User Privilege เรียกได้ว่าเป็น OS ที่สมบูรณ์แบบถ้าล้มก็แค่ reboot (ล้างโลก) และเราทุกคนคือ Object อย่างหนึ่งตามแต่จากสืบทอด Class ผ่านกันลงมายังไง สิ่งของทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาด้วยหลักการเดียวกันกับ ระบบ Digital ที่ทุกอย่างถูกกำหนดได้ด้วย “0” และ “1”
 

คำถามคือเรามีโลกจริงๆ รออยู่ข้างนอกนั้นรึเปล่า?

       ผมคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะผมก็ยังอยู่เหมือนกับท่านทั้งหลาย แต่ผมมีคำตอบในใจและผมคิดว่านั่นคือที่ๆเราสมควรจะไป “นิพพาน”, “พุทธเกษตร”, “สูญญภาวะ” หรืออะไรก็ตาม
 

ไปยังไงล่ะ?

          ผมมองว่าโลกใบนี้เป็นเพียงเกมส์ที่มี กติกา คือ “กฎแห่งกรรม” มี Genetic Algorithms ที่ส่งผลให้เกมส์ใหม่ของเราครั้งถัดไปมีรูปแบบที่แตกต่าง

        แน่นอนว่ามีผู้เล่นเกมส์นี้มาก่อนเรามากมาย พวกเขาบางคนค้นพบ ความลับที่จะเอาชนะเกมนี้ บางคนก็คิดว่าตัวเองพบ บางท่านพบแล้วก็ไม่ได้บอกต่อ ความลับ ก็ยังเป็นความลับต่อไป แต่บางคนก็คิดว่าเกมส์นี้ก็สนุกดี ได้เป็นคนรวย ได้เป็นคนดัง ได้สนุกตื่นเต้น เร้าใจ จึงไม่ได้เล่นเกมต่อ ปล่อยให้เวลาที่คอยนับถอยหลัง หมดลงเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ได้เริ่มออกเดินทาง ผจญภัยตาม quests ต่างๆเลย หมดเวลาคุณก็ตายลงแบบงง ๆ แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ในบทบาทใหม่

          เกมส์พยายามอยากให้คุณชนะมันเลยพยายามจัดสรรรูปแบบต่างๆมาให้คุณ ได้ค้นพบว่าจริง ๆ แล้วคุณกำลังเล่นเกมส์นี้อยู่นะ เล่นซะทีสิ!!! ภารกิจของคุณไม่ยากครับ เอาชนะให้ได้เกมส์จบ คุณไม่ต้องเล่นมันอีก
 

จะชนะได้ยังไงในเมื่อฉันไม่รู้ว่าเกมส์นี้เล่นยังไง?

            นานๆทีจะมีผู้รู้ (The One) ลงมาเปิดเผยกติกาของเกมนี้แบบ walkthough นั่ง cast กันให้ฟังเลย
         แต่ใครที่เกิดมาไม่ทัน ท่านเหล่านั้นก็ยังใจดีมีเมตตาทิ้งบทสรุปเอาไว้ให้พวกเราได้ศึกษากัน แต่มันก็เยอะไปหน่อยจริงไหม ^^
 

บทสรุปยอดฮิตที่ผมรู้จัก

  1. พระไตรปิฎก

  2. คัมภีร์ไบเบิ้ล

  3. คัมภีร์อัลกุรอาน

  4. คัมภีร์เต๋า

       ประมาณนี้ที่ผมรู้จักเลือกศึกษากันได้ตามลักษณะของตนชอบอันไหนเลือกอันนั้นครับ ทดลองทำดูถ้าไม่ชนะก็ลองเล่มอื่นดูบ้างไม่เสียหายอะไรเลย สำหรับผมหลักธรรมข้างต้นที่ผมยกมาก็พอเหมาะสมควรกับผมแล้วที่จะทำให้ผมเห็นความจริงนั้นก็คือ!!!

การพิจารณา ขันธ์ทั้ง 5
 

        สิ่งทั้ง 5 อย่างนี้ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลยโดยเฉพาะ “รูป” ที่เกิดขึ้นมาต้องกับตาเรา เราก็บังเอิญคิดไปเองว่านี่มันของจริงเพราะเรามองเห็น เพราะเราจับต้องได้
 

        แต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น อย่างที่ผมเกริ่นไว้ว่า โลกนี้สร้างบนหลักการของระบบ Digital ที่มี 0 และ 1 วิ่งไปมาสลับกันอยู่ตลอดเวลา (เปรียบดั่งการเกิดดับต่อเนื่อง) นั่นแปลว่ามัน “Blink หรือ กระพริบ” อยู่ตลอดเวลานั่นเอง!!!

        แล้วทำไมเราสังเกตุไม่ได้ เรื่องนี้ผมก็ยังไม่ประจักษ์กับตัวเองอย่างแน่แท้ แต่ผมมีอยู่ 2 แนวคิดครับ

  1.  ที่เราไม่เห็นเพราะ “ดวงตา” ของเรามันไม่ได้ดีขนาดนั้น

    Frame rate ต่อ วินาทีของตาเรานั้นไม่อาจจะสังเกตุความแตกต่างได้

    ทดลองง่ายๆกับ หลอด LED ที่กระพริบนะครับ เราจะไม่เห็น LED มืดสนิทที่ state ‘0’ เพราะว่าสมองเราหน่วงเวลาเราจึงเห็น แสงที่ Blur แทนที่จะมืดสนิท
 

LED Diode
 

             2. เพราะเวลาของเรากับวัตถุเท่ากันเสมอ นั่นแปลว่า ตัวเรากระพริบไปพร้อมๆกับวัตถุจริงไม่เกิดช่องว่างระหว่างรอยต่อที่เป็น State ‘0’ (General Theory of Relativity)

 

ที่มา : http://i.imgur.com/0myK3rC.jpg

 

จินตนาการต่อไป นั่นแปลว่าผมกำลังจะบอกว่า…

             ใช่ครับ โลกเรามีความว่างเปล่าเกิดขึ้นในทุกๆวินาที เคยได้ยินคำพูดประมาณว่า

               “ความว่างอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างไหมครับ”


           ผมเชื่อว่างเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ งง มาตลอดเหมือนกันจนพบกับแนวคิดที่ว่าโลกเรากระพริบได้และเป็น digital มันทำให้หลายๆปริศนา หลายความลับ ถูกตีแตกกระจาย


             วันนี้เราไม่ต้อง งง แล้วว่ามนุษย์จะบินได้อย่างไร เดินทะลุกำแพงยังไง หายตัว ล่องหน ยังไง ใน Studio เกม คุณทำยังไงโลกจริงก็ทำไม่ต่างกันครับ เพราะทุกอย่างมันไม่ได้มีตัวตน มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้ว


             เราเพียงใช้ขันธ์ทั้ง 5 จนเคยชิน ขนเกาะติดกันเหนี่ยวแน่นทำให้เกิดการแสดงภาพและการรับรู้แบบที่เราเป็นอยู่กันในปัจจุบัน
 


ถอดถอน คือ คำตอบ

            สุดท้ายแล้วการเอาชนะเกมส์ หรือ การออกจากโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการถอดขันธ์ทั้ง 5 ออกมอบอิสระให้กับตนเองที่จะเดินทางสู่สิ่งที่เป็นจริง


             ถอนออกในที่นี่ก็คงแค่การเปลี่ยน State จากสิ่งทั้ง 5 ที่เรามองว่ามัน จริง!!!

เปลี่ยน State มันให้เป็น เท็จ เป็น False ซะ

 

โลกคอยเช็คว่าถ้า

{ รูป : จริง, เวทนา : จริง, สัญญา : จริง, สังขาร : จริง, วิญญาน : จริง }

ถ้าคงมองโลก มองชีวิตแบบนี้ คุณก็อยู่ในโลกนี้ต่อไปวนเวียนไป


แต่ถ้ามองแบบนี้

{ รูป : เท็จ, เวทนา : เท็จ, สัญญา : เท็จ, สังขาร : เท็จ, วิญญาน : เท็จ }


          โลกบอกว่าคุณรู้ความลับของเรามากเกินไปแล้วเชิญทางออกจากโลกนี้ไปแล้วอย่ากลับมาอีกเลย รู้แล้วเงียบไว้อย่าไปบอกใครนะ เราไม่ต้องการ loss data



เชิญท่านไปอยู่ที่ๆ lossless เถอะ…

แลดูแล้ว โลกนี่ก็คือ พญามาร ชัดๆ ^^
 

          อย่านำบทความนี้ไปอ้างอิงเชิงวิชาการใดๆนะครับ สิ่งทั้งหลายที่ท่านได้อ่านผ่านมาเป็นเพียง Data Flow ที่ไหลไปมาในระบบเท่านั้นนะครับหรือเรียกตามภาษาบาลี มันก็ยังเป็นแค่ สังขาร ที่เกิดขึ้นมาเท่านั้นแหละครับ

          จะบอกเป็นความจริงหรือไม่นั้นท่านต้องไปทดลองด้วยตนเอง ใช้ขันธ์ทั้ง 5 ของท่านเองเป็นสารตั้งต้น ใช้การพิจารณาตามความเป็นจริง เป็นตัวทำละลาย ผลลัพท์เป็นอย่างไรท่านก็จะรู้เฉพาะตนครับ
 

ซึ่งเราทุกคนก็มีห้องทดลองของตนเองอยู่แล้วผมขอเรียกว่า “ห้องทดลองความจริง” แล้วกันนะครับ

 

Ada Kaminkure,
VOID

ขอบคุณภาพและที่มาจาก บทความดี ๆ ของ คุณ Ada Kaminkure