เตือนสติว่าด้วยการให้ทาน - ให้เพื่อ "ทำบุญ" หรือ "เป็นบุญคุณ"
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-11-02 14:57:32
ว่าการให้ทาน - ให้เพื่อทำบุญ หรือให้เพื่อเป็นบุญคุณ
ข่าวการเสียชีวิตคนดัง ที่เสียใจว่าทำดีและคนอื่นไม่เห็นค่า ช่วยเตือนสติเรา ๆ ให้เรียนรู้การทำบุญวิถีพุทธ และวิธีวางใจยามทำบุญ เพื่อเหตุการณ์เศร้านี้ จะได้ไม่ซ้ำรอยอีก
ภาพ : shutterstock.com
เจตนาทวงบุญคุณ
ต้นเหตุที่ทำให้เกิดการทวงบุญคุณเกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นความต้องการให้ผู้อื่นยอมรับในตน ลักษณะของผู้ทวงบุญคุณจึงมีลักษณะตรงกันข้ามกับผู้มีความกตัญญูนั่นเอง
ผลของการเป็นผู้ชอบทวงบุญคุณ
จะทำให้ผลของกุศลที่เราจะได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็จะหายไปกับเจตนาในการทวงบุญคุณด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกราย จำเป็นจะต้องระมัดระวังอย่าให้ความรู้สึกเป็นบุญคุณเกิดขึ้นระหว่างเรากับผู้อื่น เพราะลักษณะของการทวงบุญคุณเป็นลักษณะของการใช้บารมี หากเราไม่ได้สร้างบุญคุณเช่นนั้นจริง ภาษาพระเรียกว่าอวดอุตริมนุสสธรรม การทวงบุญคุณคนก็จะนำความเสื่อมมาสู่ตนได้
การทวงบุญคุณผู้อื่นเป็นการเชื้อเชิญมานะทิฐิให้เข้ามาสิงในใจตน ก่อให้เกิดความเย่อหยิ่งเป็นมารขัดขวางความเจริญ กลายเป็นคนแข็งกระด้างแล้วเป็นคนไม่ยอมคน การที่เราไม่ยอมคน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก ก็ถือเป็นมานะทิฐิด้วย หากเราเข้าใจเรื่องเจตนาผู้หลงผิดแม้เราจะได้พยายามถึงที่สุดอย่างไรก็ตาม แล้วเขายังมองไม่เห็นในสิ่งที่เขาได้กระทำนั้น มาตรการสุดท้ายก็ต้องยอมแล้วปล่อยให้เขาคิดเช่นนั้นต่อไป
ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ท่านเลือกที่จะไม่สนทนาธรรมกับบุคคลเหล่านี้ เรียกว่าอเวนัยสัตว์ แต่เมื่อใดก็ตามบุคคลเหล่านี้รู้สึกสำนึกในการกระทำผิดของตน เราก็ให้โอกาสบุคคลเหล่านั้นอีกครั้ง
ผู้ที่สามารถถอนความต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ เมื่อใช้รวมกับการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ก็จะทวีกำลังในผลของกุศลที่เราจะได้รับให้ทวีกำลังแรงขึ้น จะเป็นการเสริมกำลังให้เราเห็นผลจากการปฏิบัติที่เห็นผลเจริญก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดจนเป็นที่ประจักษ์แก่ตนเป็นที่อัศจรรย์ เพราะบุคคลเหล่านี้เมื่อทำให้ผู้อื่นด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ จะไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะถึงสนใจก็ห้ามความคิดของคนเหล่านั้นไม่ได้ ขอเพียงให้ตนได้เป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ก็เป็นพอ
เมื่อเราไม่สนใจความคิดของผู้อื่นแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะทวงบุญคุณก็ไม่เกิด ผลของกุศลก็จะแรงกล้า หากเรามีบาปกรรมแล้วกรรมนั้นกำลังส่งผลให้เราได้รับทุกขเวทนาอยู่ ความทุกข์เหล่านั้นก็จะพ้นไปจากเราได้ราวปาฏิหารย์ หากเราเป็นผู้พ้นกรรมกลายเป็นผู้มีบารมีในทางธรรมแล้ว จะทำให้เรามีช่องทางที่จะทำให้ตนกลายเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง แล้วเราก็มีความสุขจากการเป็นผู้ให้ให้ยิ่งขึ้น
ทำดีแล้วหลงติดดี จากสุขเป็นทุกข์
บางคนทำความดีมีความสุข แล้วหลงติดความดี เช่น ไปบริจาคปัจจัยให้กับวัดแล้วรอว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะประกาศชื่อ พอประกาศออกมาแล้วว่าบริจาคหนึ่งหมื่นบาท บริจาคไปหนึ่งแสนบาทก็ดีใจ แต่ถ้าประกาศไม่ครบหรือประกาศผิดจะไปถอนคืน
อาตมา (ท่าน ว วชิรเมธี) เคยมีประสบการณ์อ่านชื่อเจ้าภาพผิด เขาเป็นร้อยตำรวจโท แต่ว่าจดชื่อมาว่าเป็นร้อยตำรวจตรี พอประกาศร้อยตำรวจตรีแค่นั้น เขาตรงไปหาเจ้าอาวาสเลย ทำไมประกาศชื่อเขาอย่างนั้น โวยวายจนคณะกรรมการวัดวุ่นวาย เพียงเพราะประกาศยศตำแหน่งผิด
นี่คือ ทำบุญเพื่อหวังได้ความสุข แต่ว่าทำบุญแล้วติดบุญ ทำดีแล้วติดดี พอติดดีแล้วแทนที่จะมีความสุขกลับกลายเป็นความทุกข์แทน
อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวอย่างของคนติดดี คือ พระฉันนะผู้ที่นำเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช พอท่านนำเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้ว หลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้ พระฉันนะก็ตามไปบวชด้วย
บรรดาพระภิกษุที่ว่ายากสอนยากนั้น ไม่มีใครเกินพระฉันนะ
พระฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็น สหชาติทั้ง 7 คือเป็น 1 ใน7 ที่เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า เติบโตมาด้วยกัน และก็เป็นสหาย เพื่อนเล่นและก็ทำหน้าที่คอยรับใช้ พระโพธิสัตว์มาตลอด ในวันที่พระโพธิสัตว์ออก มหาภิเนษกรมณ์ คือ ออกบวช นายฉันนะ ก็ติดตามไปด้วย จึงมีความคุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และนายฉันนะ ออกบวช ท่านพระฉันนะอาศัยความคุ้นเคยที่เคยมี จึงถือตัว สำคัญตน ว่า ตนเอง เป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้า สำคัญว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ของเราจึงถือตัว ท่านพระฉันนะนั้นกล่าวถึงพระอัครสาวกทั้งสองอย่างพูดยกตน ข่มผู้อื่น ว่า
"อันตัวเรานั้นเป็นผู้เดินทางไปพร้อมกับพระพุทธเจ้าในคราวท่านออกผนวช ส่วนพระสองรูปนี้กลับเที่ยวประกาศตนว่า เป็นพระสารีบุตรบ้าง เป็นพระโมคคัลลานะบ้าง เที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอัครสาวก"
พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง พอพระพุทธเจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓ ว่า พระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดี เป็นผู้ประเสริฐ จงคบกัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงามเช่นนี้เถิด แม้กระนั้น พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง ยังคงด่าพระอัครสาวกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่บรรดาพระภิกษุว่า "ภิกษุทั้งหลาย ขณะที่เรายังคงอยู่ พวกเธอคงไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้ "
พระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ
พระองค์จึงได้ตรัสว่า ให้ลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะ
ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ พอพระฉันนะได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ จิตใจเศร้าหมองเป็นลำดับ จนล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง เมื่อฟื้นคืนสติ ก็ได้อ้อนวอนต่อคณะสงฆ์ว่า ขอท่านทั้งหลายให้โอกาสกระผมเถิด
ว่าแล้วก็กลับตนประพฤติตนใหม่เป็นพระภิกษุที่ดี จนปฏิบัติธรรมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
พรหมทัณฑ์ คือ การที่พระสงฆ์ประกาศไม่คบ ไม่พูดคุย ไม่สนทนา ไม่ประกอบพิธีกรรมต่อพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ประพฤติตนเป็นคนว่ายากสอนยาก
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พึงหลีกหนีจากคนไม่ดี พึงเข้าสนทนาเรียนรู้จากบัณฑิตผู้ฉลาดทรงคุณธรรม และการเป็นคนว่ายากสอนยากมักเป็นอยู่ลำบาก เมื่อตนไร้ที่พึ่งพิง จึงควรประพฤติตนให้ว่าง่ายสอนง่าย
อย่างนี้เรียกว่า แม้แต่ในความดีก็อย่าหลงติด ถ้าทำความดีแล้ว ให้ปล่อย
นักปราชญ์บางท่านจึงบอกว่า
เราทำบุญกับใครแล้วให้ลืมเสีย แต่ใครทำคุณกับเรา เราต้องจำให้ขึ้นใจ
ที่มาเรียบเรียงจาก :
หนังสือความทุกข์มาโปรดความสุขโปรยปราย โดยพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
https://www.gotoknow.org/posts/140929
http://www.yantep.com/forum.php?mod=viewthread&tid=825
http://www.banduangdham.com/forum/index.php?topic=118.10;wap2