ยมกปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ไฟคู่น้ำ ปาฏิหารย์เฉพาะองค์พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2015-10-24 19:18:36
ซาก “ยมกปาฏิหาริย์สถูป” บริเวณนอกเขตเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ปราบทิฏฐิพวกเดียรถีย์
ซึ่งเป็นนักบวชนอกศาสนา ณ โคนต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์
สถูปแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากวัดเชตวันมหาวิหารประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร
(ที่มา : dhammajak.net)
¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤
มีเหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันเพ็ญกลางเดือน ๘ ก่อนวันเข้าพรรษา ๑ วัน คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ปราบทิฏฐิพวกเดียรถีย์ ภายใต้ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์ หลังจากออกรับบิณฑบาตที่เมืองสาวัตถี ในพรรษาที่ ๗ หลังตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และเป็นระยะเวลากว่า ๒,๕๙๖ ปีแล้วหลังเหตุการณ์แสดงยมกปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น
เมื่อครั้งที่ พระปิณโฑลภารทวาชะ ทำปาฏิหาริย์สำแดงฤทธิ์ให้เศรษฐีในพระนครราชคฤห์ผู้หนึ่งได้ประจักษ์ว่า มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว ครั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบความแล้ว พระบรมศาสดาทรงตำหนิ และมีบัญญัติห้ามมิให้พระสาวกทำปาฏิหาริย์อีกต่อไป
ครั้นพวกเดียรพีย์ได้ทราบข่าว พากันดีใจว่าเป็นโอกาสของเราแล้ว จึงให้สาวกของตนออกประกาศว่า เราจะทำปาฏิหาริย์กะพระสมณโคดม เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้วร้อนพระทัยด้วยความเป็นห่วง รีบเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่พระวิหาร ทูลถามว่า
"พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์เป็นความจริงหรือพระเจ้าค่ะ"
"เป็นความจริง มหาบพิตร" พระบรมศาสดาทรงรับสั่ง
"ถ้าพวกเดียรถีย์จะทำปาฏหาริย์แล้วพระองค์จะทำอย่างไร"
"ถ้าพวกเดียรถีย์ทำ ตถาคตก็จะทำด้วย"
"ก็พระองค์ทรงบัญญัติห้ามแล้วมิใช่หรือ"
"ถูกแล้ว มหาบพิตร ตถาคตห้ามพระสาวกต่างหาก หาได้ห้ามอาตมาไม่ เหมือนเจ้าของสวนผลไม้ห้ามเก็บผลไม้ ความจริงก็หาได้ห้ามเจ้าของสวนเก็บมิใช่หรือ มหาบพิตร"
พระเจ้าพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า "พระองค์จะทำที่ไหนและจะทำเมื่อใด"
"ถวายพระพร อาตมาจะทำที่เมืองสาวัตถี ในวันเพ็ญเดือน ๘ นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน"
ครั้นพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ที่พระนครราชคฤห์พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้ว ก็เสด็จดำเนินไปยังพระนครสาวัตถี พวกเดียรถีย์พากันกลั่นแกล้งโจษจันว่าพระสมณโคดมหนีไปแล้ว เราจะไม่ลดละจะติดตามไปทำปาฏิหาริย์ด้วย
ครั้นย่างเข้าเดือน ๘ ใกล้เวลาทำปาฏิหาริย์ พวกเดียรถีย์ได้จัดสร้างมณฑปใหญ่ประดิษฐ์ด้วยไม้ตะเคียนงามวิจิตร ประกาศให้มหาชนทราบว่าตนจะทำปาฏิหาริย์ที่นี้
ครั้งนั้นพระเจ้าปัสเสนทิโกศลเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา รับจะทำมณฑปถวายเพื่อทำปาฏิหาริย์ พระบรมศาสดาไม่ทรงรับ ตรัสว่าอาตมาจะไม่ใช้มณฑปทำปาฏิหาริย์ แต่จะอาศัยร่มไม้มะม่วงทำปาฏิหาริย์
ครั้นพวกเดียรถีย์ทราบว่า พระบรมศาสดาจะทรงทำปาฏิหาริย์ที่ร่มไม้มะม่วง จึงจ่ายทรัพย์จ้างให้คนทำลายต้นมะม่วงในที่สาธารณะทั้งในและนอกเมืองให้หมด เพื่อมิให้โอกาสแก่พระพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์
ครั้นถึงวันเพ็ญแห่งอาสาฬมาส คือ เช้าแห่งวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จเข้าไปภายในพระนครสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต ประจวบกับราชบุรุษผู้รักษาสวนหลวงคนหนึ่งชื่อ คัณฑะ เห็นมะม่วงทะวายมีมดแดงทำรังหุ้มอยู่กำลังสุก จึงได้สอยมะม่วงผลนั้นลงมา เมื่อทำความสะอาดดีแล้วก็จัดใส่ภาชนะนำไปจากสวนเพื่อถวายพระราชา พอดีเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกลก็มีความเลื่อมใส พลางดำริ มะม่วงผลนี้หากเราจะเอาไปถวายพระราชาก็คงจะได้รับพระราชทานรางวัลไม่เกิน ๑๕ กหาปนะ แต่ถ้าเราจะน้อมถวายพระพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นมหากุศลอำนวยอานิสงส์ผลให้ประโยชน์สุขแก่เราสิ้นกาลนาน เมื่อนายคัณฑะดำริเช่นนี้แล้ว ก็น้อมมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระพุทธเจ้า
ครั้นพระบรมศาสดาทรงรับผลมะม่วงของนายคัณฑะแล้ว ประสงค์จะประทับนั่ง ณ ที่ตรงนั้น พระอานนท์เถระเจ้าอาสนะถวายประทับตามพุทธประสงค์ ครั้นประทับนั่งแล้ว ทรงหยิบผลมะม่วงในบาตรส่งให้พระอานนท์ทำปานะ พระอานนท์ก็จัดทำปานะมะม่วง คือน้ำผลมะม่วงคั้น ถวายตามพระประสงค์ ครั้นพระบรมศาสดาเสวยแล้วก็ทรงส่งเมล็ดมะม่วงให้นายคัณฑะว่า
"คัณฑะ ! เธอจงคุ้ยดินร่วนขึ้นทำเป็นหลุม ปลูกมะม่วงเมล็ดนี้ ณ ที่นี้เถิด"
นายคัณฑะก็จัดปลูกมะม่วงเมล็ดนี้ ณ ที่นั้น
พระพุทธเจ้าทรงล้างพระหัตถ์เหนือพื้นดินบนเมล็ดมะม่วงนั้น ในทันใดนั้นก็พลันบังเกิดความอัศจรรย์ขึ้น เมล็ดมะม่วงนั้นในทันใดนั้นก็พลันบังเกิดความอัศจรรย์ขึ้น เมล็ดมะม่วงนั้นเกิดงอกออกต้นขึ้นทันที และในช่วงขณะที่นายคัณฑะพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายมองดูอยู่ด้วยความพิศวง ต้นมะม่วงต้นน้อยๆ นั้นก็เติบโตใหญ่ขึ้นๆ ออกกิ่งใหญ่ๆ ถึง ๕ กิ่ง ยื่นยาวออกไปถึง ๕๐ ศอก ทั้งล้วนตกดอกออกผล มีทั้งผลดิบผลสุก แลอร่ามไปทั้งต้น ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นพสุธา
นายคัณฑะมีปีติเลื่อมใส ได้ประสบอัศจรรย์เฉพาะหน้า ก็เก็บผลมะม่วงสุกที่หล่นมาถวายพระสงฆ์ทั้งหลายที่ติดตามมาให้ฉันจนอิ่มหนำสำราญทั่วกัน
ภาพเขียน : พระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ยมกปาฏิหาริย์
ที่นอกเขตเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ณ โคนต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์
ยมก แปลว่า คู่หรือสอง, ยมกปาฏิหาริย์ คือ การแสดงปาฏิหาริย์เป็นคู่
เช่น น้ำคู่กับไฟ คือเวลาแสดง ท่อน้ำใหญ่พุ่งออกจากพระวรกายเบื้องบน
ของพระพุทธเจ้า เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระวรกายเบื้องล่าง เป็นต้น
และมีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ได้
มูลเหตุที่ทรงแสดงคือ เพราะพวกเดียรถีย์นักบวชนอกพระพุทธศาสนา
ท้าพระพุทธเจ้าแข่งแสดงปาฏิหาริย์ว่าใครจะเก่งกว่ากัน
หมู่ครูทั้ง ๖ ด้านซ้ายมือ มีอาการตกใจ พ่ายแพ้ในอำนาจอิทธิฤทธิ์
หมู่ชาวพุทธด้านขวามือ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาตั้งมั่นในพระศาสนายิ่งขึ้น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=45513
¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤
เมื่อพระบรมศาสดาทรงได้ไม้คัณฑามพฤกษ์อันสมบูรณ์ด้วย กิ่งใบสูงใหญ่งามด้วยปริมณฑล สมดังพระประสงค์เช่นนั้น ก็ทรงตั้งพระทัยจะทรงทำปาฏิหาริย์สืบไป ครั้นเวลาบ่ายแห่งวันเพ็ญอาสาฬมาส พระบรมศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฏี ประทับยืนอยู่ที่มุข ท่ามกลางพุทธบริษัทซึ่งมาสโมสรกันเนืองแน่น โดยใคร่จะชมปาฏิหาริย์ จึงทรงนิมิตจงกรมแก้วอันกว้างใหญ่เหนือยอดไม้คัณฑามพฤกษ์ไพศาลงามตระการวิจิตรควรแก่ความเป็นพุทธอาสน์ที่ประทับสำหรับแสดงปาฏิหาริย์ พระบรมศาสดาทรงเสด็จลีลาศขึ้นประทับนั่งยังจงกรมแก้วมโหฬาร ทรงกระทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิด
ท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องบน สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่าง และท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องล่าง สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องบน เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง และท่อไฟพุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง สายน้ำพุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้า เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระเนตร (ตา) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากพระเนตรข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระเนตรข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระกรรณ (หู, ใบหู) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากพระกรรณข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระกรรณข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากช่องพระนาสิก (จมูก) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากช่องพระนาสิกข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากจงอยพระอังสา (บ่า, ไหล่) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากจงอยพระอังสาข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากจงอยพระอังสาข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากจงอยพระอังสาข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ (มือ) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ข้าวขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากประปรัศว์ (ข้าง, สีข้าง) เบื้องขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระปรัศว์เบื้องขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระบาท (เท้า) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากพระบาทข้างซ้าย และท่อไฟพุ่งออกจากพระบาทข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากพระบาทข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ (นิ้วมือ) ข้างขวา สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย ท่อไฟพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างซ้าย สายน้ำพุ่งออกจากนิ้วพระหัตถ์ข้างขวา เป็นคู่ ๑
ท่อไฟพุ่งออกจากพระโลมา (ขน) เส้นหนึ่ง สายน้ำพุ่งออกจากพระโลมาเส้นหนึ่ง เป็นคู่ๆ สลับกันทั่วทั้งพระกาย เมื่อท่อไฟพุ่งออกมาแล้วก็สำแดงเป็นสีสันต่างๆ สลับกันรวม ๖ สี คือ สีเขียว สีเหลือ สีแดง สีขาว หงสบาท (สีแดงปนเหลือง, สีแดงเรื่อหรือสีแสด) และประภัสสร (สีเลื่อมพรายเหมือนแสงอาทิตย์แรกขึ้น)
เมื่อสีออกจากแสงไฟซึ่งพุ่งออกมากระทบสายน้ำ ก็ทำสายน้ำให้มีสีต่างๆ ไปตามสีไฟ สลับกันไปมางามน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
ทั้งท่อไฟสายน้ำที่พุ่งออกก็พุ่งออกไปไกลทำให้ท้องฟ้าอากาศสว่างไสว
มหาชนทั้งหลายมองเห็นทั่วทุกทิศ เป็นที่จำเริญจิตแก่ผู้ได้เห็นทั่วโลกธาตุ ต่อจากนั้นพระบรมศาสดาก็ทรงนิรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง มีพระรูปพระโฉมเช่นเดียวกันพระองค์ทุกประการ และโปรดให้พระพุทธนิรมิตพระองค์นั้นแสดงพระอาการสลับกันไปกับพระองค์โดยตลอด คือ
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จจงกรม พระพุทธนิรมิตก็เสด็จประทับยืน เมื่อพระพุทธนิรมิตเสด็จจงกรม พระบรมศาสดาก็เสด็จประทับยืน เป็นคู่ ๑
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จประทับนั่ง พระพุทธนิรมิตก็เสด็จสีหไสยา (นอนตะแคงข้างขวา) เมื่อพระพุทธนิรมิตเสด็จประทับนั่ง พระบรมศาสดาก็เสด็จสีหไสยา เป็นคู่ ๑
เมื่อพระบรมศาสดาทรงตั้งปัญหาถาม พระพุทธนิรมิตก็ทรงตรัสแก้ เมื่อพระพุทธนิรมิตทรงตั้งปัญหาถาม พระบรมศาสดาก็ทรงตรัสแก้ เป็นคู่ ๑
รวมพระอาการที่ทรงแสดงก็ดี พระอาการที่ทรงถามและทรงแก้ก็ดี ได้ปรากฏแก่มหาชนที่มาประชุมกันอยู่ได้เห็นและได้ยินกันทั่วถึง เป็นเจริญใจเจริญความเลื่อมใสศรัทธาปสาทะเป็นยิ่งนัก
ในที่สุดแห่งยมกปาฏิหาริย์ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่พุทธบริษัท เพราะได้เห็นและได้ฟังธรรมเทศนาเป็นอเนก
จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงรำลึกถึงพระนางสิริมหามายา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระองค์ประสูติได้ ๗ วัน ทรงดำริที่จะสนองคุณของพระพุทธมารดา จึงได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์โปรดเทพบุตรพระพุทธมารดา (ซึ่งอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แต่ลงมาฟังพระธรรมเทศนาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์) และเทวดาทั้งหลายอยู่ ๑ พรรษา และด้วยเหตุนี้เองชาวพุทธเราจึงนิยมทำบุญตักบาตร-ถวายมะม่วงสุกแด่พระสงฆ์ ในวันอาสาฬหบูชา
ที่มา :
ที่มา : ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า (ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=31169
http://www.panoramio.com/photo/64057367