อย่ากังวลเรื่องวัตถุจนลืมจิตใจ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-09-05 08:37:13
พระชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่สงครามในเขมรเพิ่งยุติใหม่ ๆ ท่านกับเพื่อน ๆ รวบรวมเงินได้หลายล้านเยนเพื่อจะนำไปช่วยเหลือชาวเขมรที่ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากท่านต้องการให้เงินก้อนนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนที่ทุกข์ยากจริง ๆ จึงเดินทางไปพบปะกับชาวเขมรตามที่ต่าง ๆ ด้วยตนเอง
มีคราวหนึ่งท่านได้ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท โรงเรียนแห่งนี้ขัดสนไปเกือบทุกอย่าง มีเพียงอาคารหลังเก่า ๆ และบรรยากาศที่ดูเศร้าสร้อย ท่านได้ถามครูใหญ่ว่าอยากให้ท่านช่วยเหลืออะไรบ้าง ปรากฏว่าคำตอบที่ได้นั้น ไม่ใช่โต๊ะ เก้าอี้ กระดาน และเครื่องเขียน แต่ได้แก่ “เมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ดอก”
พระญี่ปุ่นนึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบนี้ จึงถามถึงเหตุผล ครูใหญ่อธิบายว่า เด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้ได้พบเห็นสงคราม การฆ่าฟันและการทำลายล้าง มาตั้งแต่เกิด เด็กเหล่านี้แทบจะไม่เห็นอะไรที่ดี ๆ เลยในชีวิต จิตใจจึงหดหู่แห้งแล้ง ครูใหญ่เห็นว่าสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เด็ก ๆ ต้องการก็คือ ความสดใสงดงามและความชื่นบาน ครูใหญ่เชื่อว่าดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วโรงเรียนจะช่วยให้เด็กกลับมีความหวังและความเบิกบานขึ้นใหม่
พระญี่ปุ่นท่านนี้บอกว่าฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจที่นึกถึงแต่วัตถุ ตัวเองเป็นพระแท้ ๆ แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องของจิตใจเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อท่านกลับไปญี่ปุ่น ได้ส่งเงินไปให้โรงเรียนซื้อเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ตามต้องการ ไม่นานโรงเรียนแห่งนั้นก็สะพรั่งด้วยดอกไม้ ทั้งดอกไม้บนพื้นดินและดอกไม้ในใจเด็ก
ใช่หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดแบบพระญี่ปุ่นท่านนี้(ในตอนแรก) ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วว่าหากเจอโรงเรียนเก่า ๆ ที่ยากจน ก็ต้องนึกถึงโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องเขียน (จะให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องพ่วงคอมพิวเตอร์ไปด้วย) เป็นอันดับแรก ส่วนสิ่งที่จะบำรุงจิตใจนั้นเอาไว้ท้าย ๆ หรือไม่ก็ลืมไปเลย
การเน้นวัตถุแต่มองข้ามจิตใจ มิเพียงสะท้อนให้เห็นจากค่านิยมของโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศที่แข่งกันทำป้ายชื่อโรงเรียนขนาดยักษ์และรั้วราคาแพง ๆ ในขณะที่คุณธรรมและความรู้ของนักเรียนกลับตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วงแล้ว เรายังพบทัศนคติอย่างนี้ไปทุกวงการแม้กระทั่งวงการศาสนา
มิติทางจิตใจนับวันจะกลายเป็นส่วนเกินของชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมไปเสียแล้ว การทำมาหากินและการพัฒนาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องของการหาเงินและเพิ่มรายได้ล้วน ๆ จนเม็ดเงินกลายเป็นจุดหมายในตัวมันเอง วัฒนธรรมและประเพณีก็มิใช่อะไรอื่นหากคือสินค้าอีกอย่างหนึ่งที่สามารถดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้เท่านั้น เวลารัฐบาลรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลเสียที่ยกมาย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักก็คือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท ราวกับว่าความทุกข์ยากและความเศร้าโศกจากการสูญเสียชีวิตหรือพิการนั้นไม่มีความสำคัญพอที่จะกล่าวถึง
ความจริงแล้วมิติทางจิตใจไม่จำเป็นต้องแยกขาดจากชีวิตและกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งการให้ความสำคัญแก่จิตใจไม่ได้หมายความว่าต้องละทิ้งเรื่องวัตถุหรือเงินทอง เราสามารถทำอาชีพการงานเพื่อปากท้องควบคู่กับการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง หรืออาจไปถึงขั้นพัฒนาคุณภาพจิตใจพร้อม ๆ ไปกับการทำงานได้ ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุย้ำว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”
ในทำนองเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจก็สามารถผนวกมิติทางด้านจิตใจเข้าไปได้ กล่าวคือแทนที่จะเน้นแต่เม็ดเงินอย่างเดียว ก็มุ่งนำโภคทรัพย์ที่ได้นั้นมาพัฒนาสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ช่วยให้ผู้คนเอื้อเฟื้อต่อกันรวมทั้งมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น วัตถุนั้นมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตใจเสมอไป หากรู้จักใช้กลับก็มีประโยชน์ต่อจิตใจ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงได้แนะให้สาวกของพระองค์รู้จักใช้โภคทรัพย์เพื่อ “ฝึกอบรมตน ทำตนให้สงบ ทำตนให้ดับเย็นสนิท”