www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

ภัยหึงโหด เสี่ยงถึงตาย! ในยุค ชู้ทางไลน์ กิ๊กทางเฟซ
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-07-15 14:03:46

ภัยหึงโหดยุคชู้ทางไลน์-กิ๊กทางเฟซฯ..ถูกจับได้ เสี่ยงตายโหง!

ทุกวันนี้ ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง หึงโหดมีเยอะขึ้น โดยเฉพาะพิษรักแรงหึงในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นไลน์ เฟซบุ๊ก หรือแม้แต่อินสตาแกรม มีให้เห็นจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับคนตายจากกรณีนี้หลายต่อหลายศพแล้ว ซึ่งนับวันจะยิ่งน่ากลัว และสยดสยองมากขึ้น...
       
       พิษรักแรงหึง..แค้นนี้ถึงตาย
       
       ในยุคโลกออนไลน์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีข่าวในระดับสยดสยองให้อ่าน และดูกันบ่อยขึ้น โดยเฉพาะข่าวแรงรักแรงแค้นที่มีการนำเสนอความสะเทือนใจอยู่เรื่อย ๆ ยิ่งพักหลัง ๆ มานี้ แทบจะทุกวันจนใครหลายคนเริ่มชินชากับข่าวประเภทนี้ไปแล้ว
       
       ล่าสุดกับคลิปสะเทือนใจ หนุ่มหึงโหด ยิงว่าที่ภรรยาและแม่ยายดับ ก่อนเต้นเยาะเย้ย ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่ลงตัว และเป็นเหตุให้ชายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงว่าที่เจ้าสาว และแม่ยายของตัวเอง ท่ามกลางผู้เห็นเหตุการณ์อีก 2 คน
       
       โดยภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกได้เป็นภาพที่ค่อนข้างโหดร้าย และรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ในร้านแต่งรถ ชายสวมหมวกใส่เสื้อสีขาว กำลังพูดคุยกับว่าที่แม่ยาย จู่ๆ ก็ชักปืนยิงว่าที่ภรรยาของตนเอง ที่กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ เสียชีวิต หลังจากนั้นเดินออกมาจากร้านแล้วทำท่าทางที่ไม่รู้สึกอะไร อารมณ์ดี เหมือนเป็นการเยาะเย้ยอะไรทำนองนั้น
       
       ทั้งนี้ เมื่อคลิปยิงแฟนสาวและแม่ยาย ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเลือดเย็นของมือปืน และอยากให้ตำรวจรีบจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอด ถูกรวบตัวที่ช่องโนนหมากมุ้ย อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ขณะเตรียมหลบหนีข้ามไปกัมพูชา
       
       อย่างไรก็ดี หลังการสอบสวนมือปืนหึงโหดรายนี้ พบว่า ต้นเหตุสำคัญมาจากการหึงหวงที่ฝ่ายหญิงชอบเล่นไลน์ และเฟซบุ๊กกับชายอื่นซึ่งเป็นเพื่อนของฝ่ายชาย ส่วนที่ยิงว่าที่แม่ยายเพราะชอบยุให้ลูกสาวเลิกกับตน และที่เต้นส่ายก้นนั้นไม่ใช่เพราะอยากเป็นข่าว ไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิด แต่เป็นความรู้สึกโล่งอกที่สามารถยุติปัญหาเรื่องความรักกับครอบครัวนี้ได้เสียที
       
       ไม่เพียงแต่คดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชนคดีนี้แล้ว ยังมีคดีหึงแล้วฆ่า โดยมีต้นเหตุมาจากโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกหลายคดี
       
       ยกตัวอย่างคดีที่เป็นข่าวดัง เมื่อเดือน ก.ค.53 หากใครจำกันได้ กรณีหนุ่มใหญ่เมืองชลบุรี หึงเมีย คุยเฟซบุ๊กกับชายอื่น คว้าปืนยิงเสียชีวิต ก่อนยิงตัวตายตาม โดยก่อนเกิดเหตุ ฝ่ายสามี มีปากเสียงทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรง เนื่องจากขณะที่กำลังนั่งเล่นเฟซบุ๊กอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กับเพื่อนชาย ฝ่ายสามีเดินมาเห็นจนเกิดอาการหึงหวง เป็นเหตุให้ลงมือยิงภรรยาตัวเองก่อนยิงตัวตายตามในที่สุด
       
       ไม่เพียงแต่คู่รักชายหญิงเท่านั้น คู่รักเพศเดียวกัน ยังมีกรณีข่าวหึงโหดด้วย ซึ่งหลายคนมองว่ามีมากกว่าคู่ชายหญิงด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้ มีข้อมูลจากโครงการกัลยาสโมสร แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) อธิบายไว้ว่า อารมณ์หึงหวงที่รุนแรงนั้น ขึ้นอยู่กับนิสัยของแต่ละบุคคล ไม่ได้จำกัดเฉพาะคู่ที่รักเพศเดียวกันเท่านั้น
       
       อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีหน่วยงานที่เก็บตัวเลขสถิติไว้ชัดเจนเกี่ยวกับการหึงหวงแล้วใช้ความรุนแรง หรือฆ่ากันจนตาย แต่การรับแจ้งเหตุในเรื่องการทำร้ายร่างกายที่มีสูงอย่างต่อเนื่อง และจากข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มักรายงานมาอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งเรื่องเป็นอย่างต่ำว่ามีเหตุจากความหึงหวง
       
       ไลน์ เฟซบุ๊ก ตัวกระตุ้นแรงหึงโหด
       
       แม้ใครหลายคนจะมองว่า อาการหึงหวงเป็นเรื่องธรรมดาของคนรักกัน แต่ทุกวันนี้รักแล้วฆ่า หึงแล้วฆ่าไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้อีกต่อไป ยิ่งในยุคที่รักง่ายหน่ายเร็ว โดยมีสะพานเชื่อมความสัมพันธ์รักอย่างไลน์ หรือเฟซบุ๊กเข้ามากระตุ้นแรงหึงหวงจนเป็นแรงหึงโหด ดังที่ยกตัวอย่างจากข่าวในข้างต้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงในสังคมอย่างมาก
       
       เรื่องนี้ ไม่ได้เอ่ยขึ้นลอย ๆ แต่มีงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่า เฟซบุ๊กมีส่วนสำคัญในการทำลายความรักความสัมพันธ์ หลังจากที่รัซเซล เคลย์ตัน บัณฑิตวิทยาลัยวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งมิสซูรี่พบว่า ยิ่งใช้เวลากับเฟซบุ๊กมากขึ้นเท่าไร เฟซบุ๊กก็จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งบางครั้งก็ยังส่งผลกระทบทางลบทั้งในด้านอารมณ์และร่างกายด้วย อย่างเช่น ปัญหาเรื่องการนอกใจ เลิกรา หรือหย่าร้าง


       
       "คู่รักที่เล่นเฟซบุ๊กมักจะเข้าไปสอดส่องติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนหน้าเพจของแฟนตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลให้เกิดอารมณ์ระแวง หึงหวง และนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในที่สุด" นี่คือผลสรุปจากการทำวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนเล่นเฟซบุ๊กที่มีอายุระหว่าง 18-82 ปี
       
       นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า ผู้ที่เล่นเฟซบุ๊กมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะติดต่อหรือสานสัมพันธ์กับแฟนเก่ามากกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊กก็ตาม แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าหลาย ๆ คนยังคงเข้าไปวนเวียนอยู่ในหน้าเพจหรือติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดนอกใจขึ้นได้
       
       ขณะเดียวกันเฟซบุ๊กยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ระยะเวลาในการคบหากันของแต่ละคู่ลดลง โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 ปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น ในทางตรงกันข้ามคู่รักที่มีระยะการคบหามากกว่า 3 ปีขึ้นไปนั้นกลับเป็นกลุ่มที่เล่นเฟซบุ๊กน้อย หรือแทบไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเลย อีกทั้งคู่รักกลุ่มนี้ยังมีความรักความสัมพันธ์ที่มั่นคงแข็งแรงกว่าด้วย
       

     หึงแล้วฆ่า เรื่องน่าห่วงสังคมไทย
       
       ทุกวันนี้รักแล้วฆ่า หึงแล้วฆ่า เป็นเรื่องที่มีข่าวให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมถี่ขึ้น เรื่องนี้ อภิชา ฤธาทิพย์ นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการ สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต เคยสะท้อนผ่านงานเขียนเรื่องความหึงหวงจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายว่า ความหึงหวงเป็นเสี้ยวหนึ่งของความรัก ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรัก แต่ความหึงหวงที่สร้างปัญหา ดังตัวอย่างสำนวนสำหรับผู้หญิง "เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร" สำหรับผู้ชาย "ของของข้าใครอย่าแตะ"
       
       โดยความรู้สึกข้างต้นนี้ ต่างจากที่เริ่มทำความรู้จักกันหรือจีบกันใหม่ ๆ แต่เป็นความรู้สึกของความเป็นเจ้าของชีวิตที่จะเกิดขึ้นเสมอจากความสัมพันธ์ทางเพศที่มีจริงหรือกำลังจะมี อย่างหนัง ละคร นิยายหลาย ๆ เรื่องมีฉากหรือการแสดงความรู้สึกนี้เป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากความรักหนุ่มสาว จึงแสดงให้เห็นว่าความหึงหวงนั้นมีมานานแล้วในสังคมไทย สะท้อนมาจากชีวิตที่พบเห็นกันได้หรือรับรู้มาจากหลาย ๆ ช่องทาง ดังสำนวน "ความรักทำให้คนตาบอด"
       


       หากมองลึกลงไปถึงความหึงหวงในทางจิตวิทยาแล้ว เป็นสภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นท่ามกลางความสงสัย ความระแวง ความวิตกกังวล และความกลัว ว่าบุคคลที่ตนเองนั้นผูกพันจะต้องอยู่ และรักษาเอาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นของผู้อื่น ความหึงหวงนี้จึงเป็นความรู้สึกด้านลบของจิตใจ ซึ่งบั่นทอนความสัมพันธ์กับคนรัก และเพิ่มความเกลียดชังให้กับผู้มาสนิทสนม ภาษาจิตวิทยาเรียกว่า ความหึงหวงที่สร้างปัญหา (non-romantic jealousy; White and Mullen, 1989) 
       
       แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่งจะพบว่าความหึงหวงเป็นส่วนดีที่แสดงถึงความรัก ความเอาใจใส่คนรัก ความหึงหวงที่มีอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ความสัมพันธ์มั่นคงและยั่งยืนต่อไปได้ (Pines, 1998) อีกทั้งปกป้องความรักไม่ให้เกิดการนอกใจได้ด้วย (Buss, 2000) ภาษาจิตวิทยาเรียกว่า ความหึงหวงที่สร้างบรรยากาศ (romantic jealous; White, 1981)
       
       ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว อภิชา เขียนบอกแนวทางไว้ว่า ควรพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักคู่ครองเข้าใจผิดจนหึงหวง การลดพฤติกรรมที่อาจทำให้คนรักคู่ครองหึงหวงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ถูกกระทำที่มีคนรักคู่ครองขี้หึง กล่าวคือ ลดพฤติกรรมที่ชวนสงสัย เช่น กลับบ้านไม่ตรงเวลา หายไปโดย ไม่บอกกล่าว ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถติดต่อได้ เวลาคุยโทรศัพท์แสดงท่าทีวิตกกังวล และเดินเลี่ยงไปพูดที่อื่น ไม่อาบน้ำก่อนเข้านอน โดยอ้างว่าอาบมาแล้วจากที่อื่น เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้คนรักคู่ครองแสดงความหึงหวงมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงตัวเองอาจมิได้นอกใจคนรักคู่ครองเลย ดังนั้นความสม่ำเสมอและพฤติกรรมที่โปร่งใส จริงใจ จะช่วยลดอาการหึงหวงของคนรักคู่ครองได้
       
       นอกจากนั้น ควรหมั่นสร้างสัมพันธภาพ ความเข้าอกเข้าใจกับคู่ครองอยู่เสมอ ตามหลักการใช้ชีวิตคู่ เช่น ให้เวลาในการพบปะ พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพ รู้จักเรียนรู้กันให้มากกว่าตอนที่คบหาดูใจ ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันในแบบคู่ครอง ที่สำคัญ ต้องเข้าใจ ให้อภัยและแบ่งปันความรักซึ่งกันและกัน ต้องใส่ใจคนใกล้ตัวให้มาก เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่สนใจดูแลคนใกล้ตัว หากปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นความหมางเมิน ไม่ใส่ใจ และจะนำไปสู่ปัญหาในที่สุด
       
       อย่างไรก็ดี เรื่องหึงแล้วฆ่า เป็นปัญหาที่สะท้อนแนวโน้มความเปราะบางของครอบครัวไทย ที่มีความซื่อสัตย์ในการใช้ชีวิตคู่ที่ตกต่ำลง

          การแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ครอบครัวมีส่วนสำคัญมากในการเลี้ยงลูกไม่ให้เติบโตเป็นคนหึงโหด โดยการเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความอบอุ่น สร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง

        ไม่ลงโทษเด็กรุนแรงทำให้เด็กเกิดความรู้สึกอ้างว้าง หวาดกลัว หรือ หวาดผวา เช่น ข่มขู่ว่าจะไม่รัก จะเอาไปปล่อย หรือ กักขังเด็กในห้องมืดหรือห้องแคบ ๆ เป็นต้น เพราะความรู้สึกดังกล่าว จะทำให้เด็กเติบโตโดยไม่มีความภาคภูมิใจและขาดความมั่นคงทางจิตใจ เมื่อมีคนรักคู่ครอง อาจทำให้เป็นคนที่ขี้หึงหวงในแบบที่เป็นภัยต่อผู้อื่นได้
       
       รักอย่างไร? ไม่นำไปสู่คดีหึงโหด
       
       ปิดท้ายกันที่หลักคิดเตือนสติจาก พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย โดยพระนักคิด นักเทศน์ ได้เคยตอบปัญหาเกี่ยวกับความหึงหวงแล้วฆ่าคนรักผ่านหัวข้อ ความรัก = มงกุฎบุปผา + ไม้กางเขนไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งขออนุญาตหยิบยกบางส่วนบางตอนมานำเสนอต่อดังนี้
       
       "..ความรักจะบริสุทธิ์ งดงาม ก็ต่อเมื่อหัวสมองและหัวใจวางอยู่บนตราชั่งอย่างสมดุล ถ้าหัวสมอง (แจกัน) และดอกไม้ (อารมณ์) สามัคคีกัน ประสมกลมกลืนกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่รักมากจนงมงาย ไม่มีเหตุผลมากมายจนขาดชีวิตชีวา ชีวิตรักของเราก็สดชื่น เบิกบาน ราบรื่น ดำเนินไปอย่างสวยสดงดงาม..

          ถ้าเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ความรักซึ่งใครต่อใครมักมองว่าเป็นสิ่งสวยงามก็จะกลายเป็นสิ่งแสนทรามได้ รักมากขนาดไหน ก็ทำร้ายได้มากขนาดนั้น เพราะความรัก ความชังเป็นปฏิภาคผกผันซึ่งกันและกัน ขึ้นลงผันแปรโดยเกี่ยวเนื่องกันอย่างยากที่จะแยกออกเหมือนน้ำขึ้นน้ำลงมีผลโดยตรงกับแรงดึงดูดจากพระจันทร์"
       
       "ส่วนที่ถามว่า ทำไมคนที่รักกันจึงฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งได้ลงคอ สาเหตุมีมากมายเหลือเกิน บางทีเหตุผลของการฆาตกรรมคนรักอาจไม่ได้มาจากเรื่องความรักความหึงหวงเลยก็เป็นได้ แต่อาจมาจากความใคร่ ความหลงผิด หรือความตกเป็นทาสของอารมณ์อย่างชั่ววูบ เช่น ความทะเลาะเบาะแว้ง ความเข้าใจผิด ฯลฯ 

          อารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งควรระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีความรักก็คือ 'อารมณ์หึงหวง' ซึ่งภาษาพระท่านเรียกว่า 'ภวตัณหา' อันได้แก่ ความรู้สึกว่า คนที่เรารักนั้นเป็น 'สมบัติของเรา' แต่เพียงผู้เดียว โดยลืมนึกถึงความจริงพื้นฐานไปว่า คนที่เรารักนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าสมบัติซึ่งเป็นวัตถุสิ่งของ
 

          เมื่อเรารักใครสักคนต้องระลึกอยู่เสมอว่า คนที่เรารักไม่ใช่สมบัติของเราแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาก็ยังคงเป็นสมบัติของตัวของเขาเอง ซึ่งเราต้องเคารพและให้เกียรติ 
       
       นอกจากนั้น เขาก็ยังเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องของเขาอีกด้วย พอเราคิดจะให้คนซึ่งมีชีวิตจิตใจ ปัญญา อารมณ์ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับคนอื่น/สิ่งอื่น มายอมสยบอยู่ในอาณัติของเราเพียงคนเดียวอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยประการทั้งปวง แต่พอทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง ความแตกหักก็จะเกิดขึ้น
       
       ตรงนี้เอง ความหึงหวงฆ่าคนรัก ฆ่าอนาคตของคนที่กำลังมีความรักมามากต่อมากแล้ว และก็คงจะฆ่าคนอีกมากมายในอนาคต ตราบเท่าที่เขาเหล่านั้นสนใจแต่จะรัก โดยที่ไม่เคยคิดจะเรียนรู้เรื่องความรักอย่างถ่องแท้

         ดังนั้น เมื่อมีความรักเกิดขึ้นในดวงใจ ก็ควรจะเปิดตาเปิดใจของตัวเองเอาไว้ให้กว้างเสมอ อย่าจมดิ่งลงไปในหลุมดำของความรักจนลืมพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน อนาคต ภาระหน้าที่ ศีลธรรม และสถานภาพทางสังคมของตัวเอง เมื่อตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ควรหาทางชั่งดูหัวใจและหัวสมองของตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า สองสิ่งนี้ยังสมดุลกันดีอยู่หรือไม่ อย่าริรักทั้งๆ ที่ยังหลับตา แต่จงรักอย่างลืมตาอยู่เสมอ"
       
       อ่านถึงบรรทัดนี้ คงจะพอสรุปได้ว่า "ความหึงหวง" ใคร ๆ ก็มีได้ แต่มีแล้ว ต้อง "มีสติ" ด้วย ไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมความรักที่น่ากลัว และลงเอยที่ความตาย คุก และนรกอเวจีในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหึงโหด ฝ่ายเล่นชู้ และฝ่ายที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาหรือเธอมีเจ้าของแล้วก็ตาม