ธรรม...ย้ำเตือน โดยหลวงปูเพียร วิริโย ตอน 2
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-06-23 16:33:46
อย่าไปอยากรู้เรื่องของคนอื่น มันเป็นทุกข์ ให้สนใจเรืองของตัวเอง คือ เรื่องกาย กับใจ ดูมันให้ชัด การภาวนาก็อย่าไปมั่นไปหมาย การไปคาดหมายนั้น จะทำให้เราไปติดในภพในชาติ การภาวนาก็ไม่สำเร็จ
เพราะการคาดหมายนั้น มันปรุงมันแต่งไปต่าง ๆ นานา คาดนั่นหมายนี่ ว่าเป็นเราเป็นเขา ดังนั้น การภาวนา ท่านจึงให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอะไรเป็นของสวยของงาม
ให้พิจารณาทีละอย่าง ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ว่าสิ่งใดสวย พอมาประกอบเป็นคนเป็นมนุษย์ ผู้หญิงผู้ชายมีอะไรสวยอะไรงาม ถ้ามันว่าสวยมันไม่ตายเหรอ? เอาไปได้ไหม? สิงที่ว่าสวยว่างาม พิจารณาให้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาให้เป็นอสุภะอสุภัง แล้วถามใจตัวเองว่า ยินดีกับมันอีกไหม? ในร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อธาตุขันธ์แตกดับ เน่าเปื่อยผุพัง ย่อยสลายไป เอาอะไรไปได้บ้าง แม้กระทั่งกระดูก...
ดูกาย ดูใจ ให้มันชัด โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
ห้องน้ำสร้างพอบังพอถ่ายได้ก็พอแล้วล่ะ หาทำความพากความเพียรดีกว่า แก่แล้วอย่าไปปรุงไปแต่งมาก เรื่องการก่อการสร้าง หาทำดูจิตดูใจตัวเองดีกว่า ทำความเพียรนี่ล่ะ มันดี
เพียรละเพียรวาง ไม่ได้เพียรเอา เพียรดูกายดูใจตัวเองนั่นล่ะ
ไม่ให้ไปไหน ดูให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ให้เห็นอสุภะอสุภัง ให้เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั่นล่ะมันจึงดี
สวรรค์นิพพานมันไม่ได้อยู่กับใคร มันอยู่กับใจเรานี่ล่ะ
ภาวนาเพียรดูให้มันเห็นจิตเห็นใจตัวเอง
มันอยู่กับใจเรานี่ล่ะ ภาวนาเพียรดูให้มันเห็นจิตเห็นใจตัวเอง
มันจะค่อย ๆ เห็นเอง ภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตรวมลง เว่ย..โอ่ย... มันเย็นมันว่าง เวลาจิตมันถอนออกมา จึงค่อยคิดใหม่หาใหม่ โอ่ย..ว่าง่ายมันก็ง่าย.. ว่ายากมันก็ไม่ยากนะ มันอยู่กับเราต้องฝึกต้องฝน ทำมันอยู่เรื่อย ๆ ให้มันรู้จักละรู้จักคิด ว่าขนาดไหนมันจึงไม่ทุกข์
โลกเรามีแต่ทุกข์ ทุกข์มากนะ หาอยู่หากิน หาได้วันสองวัน ก็ต้องเก็บไว้กินหลาย ๆ วัน ได้มากขนาดไหน ก็ไม่พอโลกเขา
ไม่เหมือนพระเรานะ.. ไม่ได้หาเผื่อใคร หาทำแต่ใจตัวเอง ทำความพากความเพียรให้มาก ให้มันเห็นจิตเห็นใจนั่นแหละดี.. ไม่ได้ไปปรุงไปแต่งมัน เพียรให้มันละให้มันวาง ในธาตุในขันธ์.
ดูมัน...ว่าแก่มาแล้วมันไม่เป็นท่า ไม่มีอะไรดี มีแต่ของทิ้ง เดินจงกรมก็ได้ไม่นาน นั่งก็ได้ไม่นาน มันตึงเส้น นั่งก็ยาก ลุกก็ยาก ไม่เหมือนคนหนุ่มเขาจึงว่าให้พากันทำตั้งแต่ยังหนุ่ม สังขารมันก็ดีอยู่ ฉันก็ได้มาก ทำความเพียรก็ได้มาก ไม่เหนื่อย แก่มาแล้วไม่เป็นท่า รีบพากันทำภาวนาดีกว่า อย่าไปปรุงแต่งมันมากเรื่องอื่น ปรุงใจตัวเองให้มันละให้มันวาง เพียรให้มันเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละมันจึงดี..
เพียรดูให้มันเห็นจิต โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
อย่าคิดมาก..
การคาดการหมายมั่น มันไม่ใช่ทางสวรรค์นิพพานนะ ความคาดความหมายนั้น ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ความปรุงความแต่งก็เหมือนกัน ดูกายดูใจตัวเองให้เห็นอสุภะอสุภัง ให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละจึงจะถูก
ดูให้มีสติ รู้ตัวเอง ไม่ต้องคาด ไม่ต้องหมาย ก็จะค่อย ๆ ดีไปเองล่ะ
ทำความเพียรนั่นล่ะมันดี มันเป็นทางพ้นทุกข์
ถ้าเราไม่ทิ้งมันเสียก่อน มันก็จะไปได้อยู่
เมื่อเราเห็นกายเห็นใจเรา จิตมันก็จะค่อยสงบไปเอง
ไม่ต้องปรุงไม่ต้องแต่งมันหรอก ถึงเวลามันจะเป็นเอง ภาวนาไป ทำความเพียรของเราไป ไม่ต้องคิดอะไร ยังหนุ่มอยู่แข็งแรงอยู่ ทำไปเลย...
ความเพียรเป็นทางพ้นทุกข์ โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๕ มกราคม ๒๕๔๗
-------------------------------------------------------------------------------------------
ดูเขาแล้วก็ดูตัวเองนะ พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วท่านก็เบื่อ ท่านเลยไม่ลาใคร ท่านขี่ม้าหนีเข้าป่าออกบวชเลยไม่ลาใคร ท่านทำความเพียรอยู่ ๖ ปี ท่านจึงรู้ "ท่านเห็นทุกข์"
พวกเราก็เหมือนกัน สวดมนต์แล้วก็พากันเพียรภาวนาเด้อ..
ดูตัวเอง ไม่ต้องฟังเสียงใคร ฟังเสียงตัวเองนั่นแหละ ดีกว่าเสียงคนอื่น แก่แล้วพากันทำภาวนา ไม่ต้องห่วงใคร ไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลาน
ให้ห่วงตัวเอง ห่วงลูกก็เอาไปไม่ได้ ห่วงหลานก็เอาไปไม่ได้ แม้กระทั่งสังขารของเราก็เอาไปไม่ได้
เวลาเรามาเกิด เราก็ไม่ได้ชวนใครมากับเรา ลูกหลานเราก็ไม่ได้ชวนเขามานะ
เรามาเกิดคนเดียว ถึงเวลาตาย เราก็ตายไปคนเดียว.
ให้พากันทำ...
ให้ห่วงตัวเอง โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๑๐ มกราคม ๒๕๔๗ (ไปสวดมนต์ต่ออายุโยมในหมู่บ้าน)
-------------------------------------------------------------------------------------------
เศรษฐีก็ตาย คนจนก็ตาย เห็นไหม? มีใครเอาอะไรไปได้บ้างล่ะ ทำไว้หมดทุกอย่าง ก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้มีแต่บุญของตัวเองเท่านั้นแหละ..
เศรษฐีก็เหมือนกัน คนจนก็เหมือนกัน ตายหมดนั่นล่ะ.. ไม่เหลือสักคน คนทุกข์คนยากก็ตายเหมือนกัน ไม่ได้เว้นใคร
ไม่มีใครฝืนธรรมะของพระพุทธเจ้าไปได้.. ใช่จริงๆ คำพูดที่ท่านพูดไว้ "เกิด-ดับ" เกิดแล้วไม่ดับไม่ได้
แก่มาแล้ว ให้พิจารณาความแก่ ความตาย ว่าเรามันแก่แล้ว มันใกล้ตายแล้ว มันไม่เลือกล่ะ. ว่าหนุ่มว่าแก่ ตายหมด
กวาดใบไม้อยู่ก็ให้พิจารณานะ อย่ากวาดเฉย ๆ ให้พิจารณาไปด้วย ว่า ใบร่วงใบแก่มันก็ตายแล้ว เราเองก็เหมือนกัน ไม่นานหรอกก็ตายเหมือนกัน ไม่รู้หรอกว่าจะตายวันไหน ให้น้อมเข้ามาหาตัวเรา ให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาอสุภะอสุภัง ตัวเรายกแขนขึ้นดู เห็นหนังมันเหี่ยวมันย่น ก็ให้ดูให้พิจารณาว่า แก่มาแล้วจะเอาอะไร มีไหมที่จะเอาได้ ให้ถามตัวเองดู ว่า"ท่านที่เคารพอย่างสูงจะอาอะไร" จะให้มันไม่ตายก็ไม่ได้ จะให้มันไม่แก่ก็ไม่ได้
มันเป็นอนิจจัง สังขารนี้มันไม่เที่ยง เกิดมาแล้วก็พลัดพราก พี่จากน้อง น้องจากพี่ พ่อจากลูก ลูกจากพ่อ แม่จากลูก ลูกจากแม่ จากลูกจากหลาน จากกันหมด ในความเกิด
เห็นไหมความทุกข์ ความยากในตัวเอง มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นล่ะ ที่ติดตัวไปเวลาตาย แล้วก็คุณงามความดีเท่านั้นที่เอาไปได้ สมบัติข้าวของอะไรก็เอาไปไม่ได้ ลูกหลานเหลนก็เอาไปไม่ได้ เราไปคนเดียว ไปแต่ตัวเฉย ๆ ไม่มีใครไปด้วย ชวนเขา เขาก็ไม่ไป
รักษาศีลรักษาธรรม ทำความเพียรนั่นแหละ ให้ภพชาติมันสั้น ภพมันจะได้ไม่มาก
เดินจงกรมทำความเพียร ก็ให้นึกให้คิดถึงความตาย ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ความตายมันใกล้เข้ามาแล้ว เร่งทำความเพียรของเรา งานก็ไม่มีอะไร มีแต่งานทำความเพียรของเราเท่านั้นล่ะ
ดูกายดูใจให้มาก ๆ ให้มันเห็นกายเห็นใจของตัวเราเอง ดูอสุภะอสุภังไปด้วย ถ้าตายก่อนมันไปไม่ได้ ภพชาติของเราก็สั้นลง มาต่ออีกก็ไม่นาน แก่แล้วไม่ต้องคิดอะไร ดูลมหายใจของตัวเองนั่นแหละ ว่ามันตาย มันอยู่กับความตาย หายใจเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่เข้าก็ตาย พิจารณาดูมาก ๆ กวาดแล้ว สรงน้ำแล้ว ก็ทำความเพียรของเรานั่นล่ะ ไม่มีอะไร..
สมัยก่อน ผมอยู่กับหลวงปู่อ่อน (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จังหวัดอุดรธานี) มีคนแก่คนหนึ่งไปไถนา ไถแล้วก็กลับบ้าน ถึงบ้านแล้วก็คิดถึงแต่ไถ อยู่ที่กระท่อมนาของตัวเอง ใครเขาไปไหนกันก็ไม่ได้สนใจ ตัวเองคิดถึงแต่ไถ จึงเดินไปหาไถอยู่ที่กระท่อมนา พอเดินไปถึงไถ ก็ลงนั่งพิจารณาดูไถว่า ไถมันไม่ได้คิดถึงใคร มันไม่รู้อะไร มันไม่ได้สนใจกับใคร ไม่ได้สนใจว่าใครจะไปหรือจะมา มันอยู่ของมันเฉย ๆ นั่นแหละ มีแต่เราเท่านั้นที่คิดถึงมัน จิตของเราไปคิดถึงมันเอง คิดไป ดูไป พิจารณาไป จิตของคนแก่ผู้นั้นก็รวมปั๊บ พอได้ปัญญา จึงคิดถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ในการวางจิตของตัวเอง แล้วก็กลับบ้าน
พอกลับบ้านแล้ว เพื่อน ๆ ถามว่า "ไปไหนมา?" ก็ตอบเขาไปว่า "ไปหาอาจารย์" พูดอย่างนั้น เพื่อนก็ถามว่า "อาจารย์อยู่ที่ไหน?" ก็ตอบเพื่อนไปว่า "อยู่ที่กระท่อมนาเว่ย" เพื่อนก็สงสัยว่า อาจารย์ไหน? ก็ตอบเพื่อนไปอีกว่า "อาจารย์ไถ" เพื่อนจึงเข้าใจ
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้หนึ่ง ท่านสงสัยในธรรมของท่าน ถึงความเกิดดับ จึงเดินไปถามพระพุทธเจ้า พอไปถึง เกิดฝนตกหนัก จึงเข้าพักใต้ถุนกุฏิ ฝนย้อยลงมาเกิดเป็นฟองน้ำแล้วก็แตก เป็นอยู่อย่างนั้น..
ท่านก็ดูแล้วพิจารณาไปด้วย ว่าฟองน้ำเกิดแล้วก็แตกดับไป จิตของเราก็เหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับ ไม่ว่าอะไร เกิดแล้วไม่ดับไม่มี
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ก็เลยไม่สงสัยในการเกิดดับอีก จึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา เลยไม่ทันได้ถามพระพุทธเจ้า
นี่แหละผู้มีปัญญา ดูอะไร ทำอะไร ก็ดีหมด ดูไปพิจารณาไป ถึงเวลาสติปัญญาเกิด มันก็จะเกิดเองหรอก..
ค่อย ๆ ทำไป อย่าไปมั่นไปหมาย ไปคาดไปเดาไปปรุงไปแต่ง การคาดการหมาย การปรุงการแต่งคาดเดานั้น เป็นต้นเหตุของภพชาติไม่จบไม่สิ้น ให้ทำของเราไปเฉย ๆ นั่นล่ะ ถึงเวลาของมัน มันก็จะเกิดเองหรอก ไม่ต้องห่วง.
เกิด-ดับ โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ (เศรษฐีหนองคาย นิมนต์หลวงปู่ไปงานศพเมียเขา ที่กรุงเทพฯ)
-------------------------------------------------------------------------------------------
พระทุกวันนี้ว่ายากสอนยาก ไม่ค่อยเอานะเรื่องภาวนา เที่ยวหาทำนั่นสร้างนี่ คิดว่า สร้างบารมีตัวเอง การสร้างบารมีตัวเองมันไม่ใช่ทำอย่างนั้นนะ
มันต้องดูใจตัวเอง คือ ทำความเพียร
เพียรละเพียรเลิกกิเลสในใจของตัวเองจึงจะถูก
เพียรให้มันเห็นให้มันใกล้พระนิพพาน
เวลาตัวเองธาตุขันธ์แตกดับ
บุญจากการภาวนา จึงจะติดไปกับตัวเอง
ไปสร้างต่อเอาในภพหน้าชาติหน้า
การสร้างบารมีต้องสร้างอย่างนั้น
สร้างบารมีในทางความเพียร สร้างให้มันมาก
ไม่ใช่สร้างวัตถุอย่างชาวโลกเขา
เราเป็นพระเว่ย...มันต้องพาสร้างพาทำอย่างนั้น บารมีจึงแก่กล้า ใกล้นิพพานใกล้พระพุทธเจ้า เรื่องสร้างวัตถุนั้นเป็นของโลกเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา...
สร้างบารมี โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๒๕ มีนาคม ๒๕๔๗
-----------------------------------------------------------------------------------
ให้พากันทำความดี ความไม่ดีอย่าพากันทำนะ ให้พากันขี้เกียจทำความชั่ว
เวลาตายเราจะได้ไปกับความดี ความดีพาไปสวรรค์ไปนิพพานนะ ไม่เหมือนความชั่วพาไปนรก
ขยันภาวนานะ อย่าขี้เกียจ อย่าคิดมาก เรื่องที่ผ่านมานั้นมันเป็นอดีต ให้คิดเรื่องปัจจุบัน อยู่กับกายกับใจเรา
ให้ถามมันดูว่า คิดมากแล้วได้อะไร? คิดมาตั้งนานแล้ว อย่าไปคาดไปหมาย ไปปรุงไปแต่งมันนะ ให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วค่อยคิดแก้มันว่าเหตุมันเกิดมาจากอะไร
ความคาดความหมายนั่น เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกัน เราต้องรู้วิธีตัดมันด้วยวิธีภาวนา ให้มันเห็นว่าเหตุนั้นเกิดมาจากไหน มันจึงมีผล ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่เกิด เวลาเกิดขึ้นแล้วโดยมากพวกเราไม่ค่อยนึกถึงเหตุ
พระนักบวชทุกวันนี้ ไม่ค่อยเอาเรื่องภาวนา ไม่รู้ทำอะไรไปทั่ว
ดูแต่วันงานพ่อแม่ครูอาจารย์ (หลวงตามหาบัว ญาณสฺมปนฺโน) ที่บ้านตาด ท่านทำบุญเฉยๆ ให้แม่ของท่าน แต่ว่าพระก็มากันมาก มีห้ามาห้ามีสิบมาสิบ มาเอาอะไร ทำไมไม่อยู่วัดภาวนา พระทุกวันนี้น๊า...บวชมาหาเล่นหากินเฉย ๆ มากันเต็มหมดบ้านตาด ดูเห็นแต่งบริขารแต่งบาตรมาพร้อม มาทำอะไร
เมื่องานปู่โสม (หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร วัดป่านาสีดา จังหวัดอุดรธานี) ก็เหมือนกัน พระ-เณรก็มาก ไม่รู้มาเอาอะไร ผมไม่ชอบนะ เมื่อก่อนนี้ถ้าเขาไม่นิมนต์ งานไม่สำคัญ ไม่รู้จะไปทำอะไร มันเหนื่อย ผู้คนก็มาก นั่งก็ยาก ลุกก็ยาก ดูไปทางไหนก็มีแต่คน โอ่ย...มันยุ่งมาก
แต่พระผู้ที่ไม่ชอบภาวนาท่านชอบนะ..
พวกเราอยู่วัดสบายกว่า ทำความเพียรได้ทั้งวันทั้งคืน งานก็ไม่มีอะไร จะนั่งจะเดินก็ได้หมดทั้งคืนทั้งวัน ให้พากันทำ.. บวชนี่มันยากนะ ถ้าไม่ใช่ผู้เคยมีนิสัย แต่ถ้าผู้มีนิสัยเคยสร้างเคยทำมาก่อน มันก็ง่าย แต่พระทุกวันนี้ไม่ค่อยทำนะ เดินจงกรมนั่งสมาธิ มันพูดยาก ทำอะไรก็ไม่พิจารณา เรื่องการกินการอยู่ก็ไม่ค่อยพิจารณา
วันนี้โยมเอาทุเรียน เงาะ แล้วก็อะไรอีก? มาจากจันทบุรี เอาลงไว้โน่น มากอยู่นะ
ความศรัทธานั้นเกิดกับผู้มีศีลมีธรรม การภาวนาต้องทำใจให้ดี
เมื่อใจดีแล้ว ศรัทธาก็ไหลมาเองหรอก รักษาศีลภาวนาดีมันก็มาเองหรอก
"กลิ่นของศีล"นั้นไปไกลนะ ไม่เหมือนความชั่ว ใครรู้ก็ไม่ชอบ
พระเราถ้าไม่ภาวนารักษาศีล มันก็ไม่ดีละเว่ย..ญาติโยมก็ไม่อยากเข้าใกล้
ภาวนาก็ให้ดูกายดูใจของเรานั่นแหละ
กายปวด กายเมื่อย กายเจ็บ ใจไม่ได้เจ็บด้วยก็ไม่มีอะไร มันขึ้นอยู่กับใจตัวเดียว
ถ้าว่าแบบปริยัติแล้ว ก็ว่ามรรคมีองค์ ๘ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา แล้วก็มาสำรวมกาย วา ใจ พูดไปหลายอย่าง พูดแบบปฏิบัติ มันก็ไม่มีอะไร ให้ดูกายดูวาจาใจของเรานั่นล่ะ
ดูกายดูวาจาใจมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะทุกอย่างนั้นออกมาจากใจ
ถ้าใจดีกายก็ดี วาจามันก็ดี มันขึ้นอยู่กับใจตัวเดียว
ไม่ต้องพูดให้มันยาก พวกเราก็เหมือนกัน ให้พากันเพียรพากันทำ ดูกายดูใจของเรานั่นแหละ
ดูให้มันชัด ๆ ว่ามันคิดอะไร ให้มันคิดแต่เรื่องดี ๆ เรื่องไม่ดีอย่าไปคิด
ให้พากันตั้งใจภาวนา บวชเข้ามาแล้ว งานการก็ไม่มีอะไร ทำทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้
เอาล่ะ..พากันไปหาภาวนาซะ..
กลิ่นศีล...นั้นไปไกล โดย หลวงปู่เพียร วิริโย
๑ มิถุนายน ๒๕๔๗
-----------------------------------------------------------------------------------
ที่มา http://board.plungjai.com/index.php?topic=2153.0
ภาพประกอบ
www.dhammajak.net
board.palungjit.org
www.prakammathan.com