ธรรม...ย้ำเตือน โดยหลวงปูเพียร วิริโย ตอน 1
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-06-23 15:47:07
ให่ฮู้จัก "พุทโธ ธัมโม สังโฆ"
สวดมนต์ไหว่พระ ฮักษาศีลเด้อ
อย่าเป็นคืองัวคือควาย
เฮ็ดบุญฮักษาศีลนำแด
ธรรม...ย้ำเตือน โดย..หลวงปูเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
-------------------------------------------------------------------------------------------
วัดนี้ไม่มีอะไร งานข้างนอก ให้ทำความเพียรของเราให้มาก ๆ อย่าเห็นแก่กิน แก่นอน
การกิน ก็ให้พิจารณาเอาว่า กินน้อยทำความเพียรดีไหม กินมากเป็นยังไง ให้ดูเอาว่าอย่างไหนดี ให้กินแต่พอดี อย่าเห็นแก่การนอน นอนพอตื่นก็ตื่น
ทำความเพียร ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอะไรภายนอก อย่าสนใจกับเรื่องอดีตอนาคต โทษของพระมันก็มีเรื่องการฆ่ากับเรื่องผู้หญิง
เวลาภาวนาอย่าไปคิดถึงมัน โดยเฉพาะเรื่องความรักใคร่ชอบพอ อย่าไปยินดีกับเรื่องอดีตอนาคต อนาคตนมันไม่เท่าไหร่ล่ะ อดีตมันสำคัญ จิตมันชอบไปปรุงไปแต่งว่าสวยว่างาม ว่าดีว่าชอบ ควรจะวางได้ก้ให้วาง ตัดได้ก็ให้ตัดซะ เราบวชเข้ามาแล้ว ภาวนาเอาแต่เรื่องของเรา มองให้มันเป็นอสุภะ การกินการอยู่ก็ดี ไม่มีอะไรมาก อย่าไปเห็นแก่กิน เรื่องการกิน เราเป็นพระ ไม่เหมือนกับฆราวาส อยากกินอะไรก็ไปหาซื้อเอามากิน กุ้ง หอย ปู ปลา หมู เนื้อ อาหารทะเล คาว หวาน กินไปสนุกไป เพราะมีเงินซื้อกิน
เราบวชแล้วซิมันดี คนมันเคยมีวาสนาได้บวช จึงได้บวข เห็นไหม คนข้างนอกเป็นแสนเป็นล้านไม่มีโอกาส เราบวชแล้วโอกาสดีแล้ว ให้รีบภาวนาเอาตัวเรา อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ๆ
รีบทำเข้าความเพียร ตรงไหนว่ามันเหมาะก็ให้เอา สะดวกในศาลา เรือนน้ำ ในป่า หรือตรงไหน ๆ ว่าดีว่าเย็นเอาเลย อย่าฃ้า
หนทางมันมีอยู่ สวรรค์ นิพพานรออยู่ ขาดอยู่แต่ผู้เอาจริง ให้รีบภาวนา
ดูที่ใจอย่าส่งออกนอก ส่องดูที่ใจอย่างเดียว ดูอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนดูที่ใจ
เราพอใจ ชอบไม่ชอบมันก็อยู่ที่ใจ กายไม่เกี่ยว กายมันก็เป็นของมันเช่นนั้นแหละ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ใจมันไม่เจ็บไม่ตายด้วย ฉะนั้น ให้ดูที่ใจ ไม่ต้องไปดูที่อื่น...
สอนพระบวชใหม่ โดย..หลวงปูเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
โอกาสดีแล้วหาภาวนา ชีวิตนั้นไม่มีอะไรแน่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันไม่เที่ยง
น้อยคนนักที่จะได้บวช เป็นเพราะนิสัยวาสนาจึงได้บวช คิดบวช เคยทำมา
ให้เร่งภาวนาตัดเรื่องอื่น อย่าไปคิด หาทางตัดมัน เรื่องอดีตที่ไม่ดี
โอกาสดีแล้วหาภาวนา โดย..หลวงปูเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
๔ กรกฏาคม ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
คิดมากก็ฟุ้งซ่านมาก คิดออกไป ไม่คิดเข้ามาหาตัวเอง คิดส่งออกไปข้างนอก มันไม่ดี มันคิดมาก มันก็ไม่หยุดล่ะ ตัวเรามันมีแต่เรื่องไม่ดี คิดถึงเขา คิดถึงลูก ทำไมมันไม่คิดแต่เรื่องเกิดเรื่องตาย คิดอะไรมากมาย.
โอ่ย..มันมีแต่เรื่องไม่ดี คิดตั้งแต่เกิด มันเป็นแต่โลกนะ..
โอ่ย..คิดมาก คิดมากมันก็ไม่เห็นพ้นทุกข์ คิดมากมันก็ทุกข์มาก ทำไมไม่ดูตัวเองว่า มันคิดอะไรมาก มันมีแต่เรื่องไม่ดี คิดมากมันมีแต่ใจเท่านั้นแหละเว่ย..
คิด..กายมันไม่ได้คิด กายมันก็เป็นของมันอย่างนั้น คิดออกไปมาก ไม่คิดเข้ามาหาใจของตัวเอง ว่ามันจะตายเมื่อไหร่? จะอยู่อีกนานแค่ไหน?
คิดมาตั้งแต่เกิด มันมีแต่เรื่องทุกข์ทั้งนั้นแหละ ไม่หยุด คิดมาก ฟุ้งซ่านมาก คิดมาก มันมีแต่โลก มันไม่มีธรรมแหละเว่ย..
ก็คิดเข้ามาดูกาย ดูใจ ดูขน ผม เล็บ ฟัน หนัง มันก็ดีอยู่ มันมีแต่ทางพ้นทุกข์ ทางอื่นมันไม่พ้นทุกข์เว่ย..
ดูตัวเองทำตัวเองนี่แหละ มันจึงพ้นทุกข์ ดูตัวเองซิล่ะ..ว่ามันมีทางไหนเป็นของตัวเองบ้าง นั่งภาวนาปวด ดูซิว่า ตรงไหน ที่ไหนมันปวด มันเจ็บ ใครเจ็บ กายเจ็บหรือใจเจ็บ กระดูกเจ็บหรือหนังเจ็บ เอ็นเจ็บหรืออะไร?
ดูมันซิว่า อันไหนมันของเรา มันไม่มีของใครสักหน่อย มีแต่กองธาตุ มันประกอบไปด้วยธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เห็นมีเจ้าของ เขาสมมุติมันมองไม่เห็น ตัวเรามันหลงนี่เว่ย.. ว่าเป็นเราเป็นเขา โอ่ย... มันดูไม่เห็น มันจึงทุกข์ มันดูไม่ออก ถ้าดูออก ทุกข์มันก็ไม่มาก พิจารณามันลงมาเป็นธรรมะซะ มันก็เบา
ดูให้มันเป็นกองธาตุกองขันธ์ รวมลงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาซะ มันก็วาง มันก็หยุดหรอก ถ้ายังมีเรามีเขา มันก็ยังทุกข์มาก
มันยังหนุ่มยังแน่น มันก็คิดถึงสาว คิดถึงเขา รูป รส กลิ่น เสียง มันไม่ดูอสุภะว่าอันไหน ๆ มันก็ไม่จีรัง มันมีแต่ทางเสื่อม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันมีแต่จะเสื่อมไป ๆ มันอยู่ไม่ได้ โอ่ย..มันจะดียังไง..
บวชเป็นพระนี่แหละเว่ย มันดี..มันไม่ต้องวุ่นกับโลก ไม่ต้องสร้างโลก สร้างทุกข์อะไร ๆ เขาก็จัดก็ทำไว้ให้พร้อม เราอยู่ไปตามมีตามได้ พอใจละเว่ย..ตัวเองมันก็ไม่ต้องทุกข์มาก โลกมันมีแต่เรื่องทุกข์ ไม่หยุดสักที เรามันยังมีทางหยุด..ดูตัวเองนั่นแหละ..ว่าหนุ่ม มันก็เป็นอย่างหนึ่ง กลางคน มันก็เป็นอย่างหนึ่ง แก่ มันก็เป็นอย่างหนึ่ง ดูให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจึงไม่ทุกข์
ดูตัวเองนั่นแหละ...ไม่ทุกข์
โดย..หลวงปูเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
๙ สิงหาคม ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
อวิชชา คือความหลง ก็หลงรูป หลงเสียง หลงกลิ่น หลงรส หลงตน หลงตัว แล้วก็ไปสำคัญมั่นหมายตัวเราของเรา เป็นเราเป็นเขา ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสวยเป็นงาม เนื้อก็เป็นเรา หนังก็เป็นเรา นี่ล่ะ..เขาว่า ความหลง
มันก็หลงตัวเองนั่นล่ะก่อน แล้วถึงจะไปหลงคนอื่น ยึดตัวเองก่อน แล้วจึงจะไปยึดคนอื่นติดคนอื่น พูดง่าย ๆ ตัวเรานี่แหละเป็นผู้ชาย แต่เวลาติด ก็จะไปติดผู้หญิงซะ รักก็ไปรักผู้หญิง ไม่ได้รักผู้ชายนะ คำว่ารูปก็รูปผู้หญิง เสียงก็เสียงผู้หญิง กลิ่นก็กลิ่นผู้หญิง รสก็รสผู้หญิง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เป็นของผู้หญิงหมด เป็นอย่างนั้นล่ะ..
คำว่าหลง..นี่ หลงตัวเองก่อน แล้วจึงค่อยไปหลงคนอื่น
สมมติว่า เราหลงว่าเราเป็นอย่งนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปหลงคนอื่นล่ะทีนี้ หลงก็หลงผู้หญิงนะ ไม่ใช่หลงผู้ชาย รักก็รักผู้หญิงนั่นล่ะ...จึงว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงหมดนั่นล่ะ อวิชชาปัจจะยา สังขารา ไม่ได้สวดนานแล้วนะนี่ ไม่ค่อยได้สวดสักที ไม่รู้เป็นยังไง ลืม..มัน ลืมหมดแล้วนะนี่
อวิชชาปัจจะยา ทำให้เกิดสังขาร ทำให้เกิดวิญญาณ ทำให้เกิดเป็นภพ เป็นชาติ
ทั้งหมดนั่นล่ะในอวิชชา แล้วก็แก้ยากซะด้วยซิ
ถ้ามันยังไม่เห็นตนเอง แต่ถ้ามันเห็นตนเองเมื่อไหร่ เห็นว่าตัวตนเป็นของไม่สวยไม่งาม เป็นก้อนอสุภะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอ่อ.. ก็จะแก้ง่ายนะ
ยิ่งถ้าเราไม่ยึดแล้วด้วย มันก็ไม่เป็นตัวเป็นตน ถ้าเราไม่ยึดแล้ว มันก็เบา ถ้าเราไม่ยึดแล้วมันก็ไม่ใช่ "อวิชชา" อีกด้วย แต่เพราะว่าเรายังหลงอยู่ ยังหลงว่าตัวว่าตน ว่าเราว่าเขาอยู่ และถ้าเมื่อไหร่เห็นเป็นอนิจจังจริง ๆ ซะ เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เมื่อนั้นล่ะ มันก็จะไม่ยึด มันก็หมดความหมายเท่านั้นล่ะ แต่ว่ามันก็ยากอยู่นั่นล่ะ
มันไม่ใช่ธรรมดานะ ยากอยู่นะ ความหลงตนหลงตัวอันนี้นั่นล่ะ... ถ้าเรามันยังสำคัญตัวเองอยู่ ก็จะมองผู้อื่นไม่เห็นล่ะ แต่ถ้าเห็นตัวเองเมื่อไหร่นะ ก็เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านพูดเอาไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
แต่นี่พวกเรา ถ้าไม่หลงตัวเองก็หลงคนอื่น หลงตัวเองก็ต้องแก้ตัวเองเสียก่อนนั่นล่ะ แก้เรื่องอันนี้ล่ะ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภะอสุภังนี่แหละ
แต่ถ้าเห็นอสุภะอสุภัง เราก็เห็นหมด ถ้าเห็นของตัวเองแล้วของคนอื่นก็ไม่ติดไม่ยึดนะ เพราะคนอื่นก็มีขี้มีตดเหมือนกัน มีเนื้อมีหนัง มีเอ็นมีกระดูก มีน้ำเน่าน้ำเหม็นเหมือนกัน มีอะไรอยู่ในตัวเรา ก็เป็นของเน่าหมดนั่นล่ะ ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ กับว่า เรานี่มันรู้หมดเห็นหมดนะ เวลาพูด แต่ว่าความเป็นจริงมันไม่เห็น
เพราะสัญญามันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ "ตัวสัญญา" แต่ปัญญามันไม่เห็นนะซิ เพราะปัญญามันยังไม่เกิด ถึงแม้ว่ามันจะคิดขึ้นมาในตัวเรา แต่มันก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง เพราะมันยังเป็นสัญญาความจำ
แต่ถ้าพูดเรื่องอสุภะนะ มันใช่ทั้งหมด ดินก็ใช่ น้ำก็ใช่ มีแต่ลมกับไฟนี่ล่ะ ไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เป็นตัวเป็นตน ท่านจึงไม่ค่อยได้พูดถึงลมกับไฟ ส่วนมากจะพูดถึงแต่น้ำกับดิน
ดินกับน้ำ เราก็สวดเหมือนกันนั่นล่ะ..สวดก็สวดแต่ดินกับน้ำ "อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล" ถ้าไม่บอกว่าเป็นของเราแล้วจะเป็นของใคร ท่านจึงให้พูดถึงของเราเสียก่อน
"ปิตตัง-น้ำดี เสมหัง-น้ำเสลด ปุพโพ-น้ำเหลือง โลหิตัง-น้ำเลือด เสโท-น้ำเหงื่อ เมโท-น้ำมันข้น อัสสุ-น้ำตา วะสา-น้ำมันเหลว เขโฬ-น้ำลาย สิงฆานิกา-น้ำมูก ละสิกา-น้ำมันไขข้อ มุตตัง-น้ำมูตร"
ก็เห็นเอาแต่น้ำกับดินมาตลอด เพราะเวลาติด มันก็ติดอยู่กับน้ำกับดินนั่นล่ะมาก ไม่ค่อยได้ติดอยู่กับไฟกับลม เพราะลมไม่มีตัวตน พัดมาก็ว่าลม หายใจเข้า หายใจออก มันจึงได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
แต่ว่าเวลาลมดับนี่นะ น้ำกับไฟก็ยังต้องทำงานอยู่นะ ถ้าไม่ใช่คนตาย แต่ถ้าคนตาย น้ำกับไฟก็ไม่ทำงาน ถ้าเป็นเพียงการภาวนา บางครั้งลมก็ไม่ออกไม่เข้า แต่มันหมุนอยู่ในใจข้างใน แบบนี้ไม่เป็นอะไร เพราะเคยเป็นอยู่อาการของลมดับนี่ แต่ถ้าเป็นคนตายก็ใช่อยู่นะ ก็หยุดไม่หายใจเข้าไม่หายใจออกเท่านั้นล่ะ คนตายลมดับนี่.. ถ้าดับเวลาเราภาวนาหรือตอนจิตสงบ มันไมตายนะ.. ไม่ต้องกลัว แต่มันหมุนอยู่ข้างใน คล้าย ๆ กับว่า ไม่เห็นลมมันออก แต่ว่ามันปรากฏอยู่ข้างในนะ และไม่นาน มันก็จะปรากฏขึ้นมา
ท่านจันทา (หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร) ท่านเคยพูดให้ฟังว่า ท่านไปพักภาวนาอยู่ที่อำเภอจักราช แหม... กายดับหมดเลย โอ่ย.. คิดว่ามันคงจะตายซะละมั๊ง ค้นหากายใหญ่ จิตก็เลยถอน มันก็ยากนั่นล่ะ... ถ้าจะพูดไปนะ เรื่องการภาวนานี่แต่เราก็ไม่ถอยนะ ทำมันไปนั่นล่ะ.. ถ้ามันไม่ได้อย่างหนึ่ง ก็เอาอย่างอื่นยกขึ้นมาพิจารณาแทน เอามาพิจารณาเอามาทำ เหมือนกัน กับว่า เราเป็นคนค้าขายนั่นล่ะ.. ขายอย่างนี้ไม่ดี ก็หาแบบใหม่มาขาย รถก็เหมือนกันนั่นล่ะ คันนี้ถ้ามันไม่ดีก็ต้องทิ้ง เปลี่ยนเอาคันใหม่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ถ้าเราบริกรรม มันยังไม่ลง ก็หันมาพิจารณาอีกอย่างหนึ่งก็ได้ แต่..สำคัญเรื่อง"สติ" นี่ล่ะ.. มันก็ยากอยู่นะ ถ้า"สติ"มันไม่ติดต่อกัน แต่ถ้าเราทำ"สติ"ดี ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานั่งภาวนา มันก็ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดหรอก เพราะเรามีสติ
แต่เรามันชอบออกไปตามสัญญาอารมณ์ วับ ๆ แว๊บ ๆ ถ้ามันไม่คิดเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กเรื่องน้อยแล้ว มันก็มักชอบไปคิดไปปรุงไปแต่ง เป็นอย่างนั้นนั่นล่ะ เพราะว่า"สติไม่มี" เวลาภาวนามันจึงไม่ค่อยรวม ไม่ค่อยสงบ นั่นล่ะ...
จึงได้บอกว่า ชอบไปหาเรื่องยากเรื่องยุ่งใส่ตัวเอง พอคิดพิจารณาแล้ว มันก็เป็นเรื่องยุ่งจริง ๆ ก็เหมือนกับที่พวกเรากำลังจะจัดงานคล้ายวันเกิดให้ผมนี่ล่ะ...มันก็มีแต่เรื่องยุ่งเห็นไหม ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมสิ่งของ ไปนิมนต์พระเจ้าพระสงฆ์มา ผู้คนก็ไปมาหาสู่อย่างนี้ล่ะ..มันยุ่ง.. เห็นไหม?
ให้พากันพิจารณาดูเอานะ ว่า การจัดงานมีงานมันยุ่งอย่างนี้ล่ะ.. มองให้มันเห็นว่ามันยุ่ง ยุ่งกับข้าวของผู้คน มันไม่ได้ภาวนาล่ะ..วุ่นวาย.. เสียเวลาทำความพากความเพียรของเรา...ยุ่งนะ ยุ่งจริง ๆ .. ผมจึงไม่ชอบงานภายนอก มันยุ่งอย่างนี้ล่ะ สู้ทำงานภายในของเราไม่ได้ สุข เย็น แล้วก็เป็นธรรมด้วย ไม่วุ่นวายดี.. เอาล่ะ...
อวิชชา..ความหลง โดย..หลวงปูเพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
๒๑ กันยายน ๒๕๔๖
-------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://board.plungjai.com/index.php?topic=2153.0
ภาพประกอบ
http://board.plungjai.com/index.php?topic=2153.0
www.bloggang.com
www.dhammajak.net