www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

วันนี้ท่านบริหารจิตแล้วหรือยัง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-03-12 10:20:57

วันนี้ท่านบริหารจิตแล้วหรือยัง 

บรรยากาศบ้านเมืองในปัจจุบัน เต็มไปด้วยความตึงเครียด เคียดแค้น ชิงชัง และแตกแยก เพราะคนส่วนใหญ่ขาดการบริหารจิต จึงฟาดฟันกันด้วยโทสะ บ่มเพาะและขยายเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลไปทั่วทุกหัวระแหง

คำกล่าวที่ว่า “ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ยืนยาวที่สุดก็เพียงแค่ลมหายใจเดียว หากไม่เชื่อ ลองหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออก หรือหายใจออก แล้วไม่หายใจเข้า ดูซิว่าจริงหรือไม่ เราไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้สำหรับเราอีกหรือไม่ เพราะฉะนั้น จะโกรธจะเกลียดกันไปทำไม จงลืมให้ไว อภัยให้เร็ว” หากทำได้ตามนี้ ชีวิตคงทุกข์น้อยลงอีกเยอะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพุทธสาวกให้อยู่กันด้วยความเมตตา ให้อภัยต่อกัน เพื่อความสุขสวัสดีในสังคม
 


นอกจากนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังได้ทรงถ่ายทอดธรรมนี้ ให้เราท่านทั้งหลายได้พิจารณาตามดังนี้ 

“อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ 

อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคนว่าใจแบบไหนที่ยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย 

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จักอภัยในความผิดทั้งปวง ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้อภัยจะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก 

ตัวอย่างเช่น เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้นรถอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จักอภัยให้เขาเสีย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถือโกรธกันหนักหนา เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางที่ไม่ตั้งใจคิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกรธแล้วจะหายโกรธไปเอง 


โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น 


ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน 

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป 

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน 

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างใดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...”
 

แล้วท่านเลือกที่จะสร้างเหตุแบบใด   
แม้ว่าเรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ เมื่อปัจจุบันดี ก็ไม่ต้องห่วงอนาคต เพราะอนาคตเกิดจากการสร้างเหตุในปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันสร้างเหตุไว้ดีแล้ว ผลที่จะเกิดในอนาคตย่อมดีโดยฝ่ายเดียว 
ขอเรียนเชิญญาติธรรมทุกท่านร่วมสร้างเหตุที่ดี ฝึกบริหารจิตหรือเจริญสติในชีวิตประจำวัน ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะทำ พูด คิดสิ่งใด ก็ให้มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา ให้สตินี้เป็นที่พึ่ง เป็นเกราะคุ้มครองใจ เพื่อไม่ให้จิตใจไหลลงสู่ที่ต่ำที่ชั่ว