อุเบกขา
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2014-02-10 11:46:06
อุเบกขา
.
ได้แสดงอุเบกขามาหลายครั้ง
เพราะเป็นธรรมที่ประกอบอยู่ในหมวดธรรมทั้งหลายเป็นอันมาก
อันแสดงว่าเป็นธรรมข้อสำคัญ
ที่จะนำให้การปฏิบัติธรรมทั้งปวง
โดยเฉพาะนำจิตใจไปสู่ความหลุดพ้นได้
พิจารณาดูเข้ามาที่จิต
จิตนี้โดยปรกติไม่มีอุเบกขาในอารมณ์ทั้งหลาย
เพราะว่าไม่ปล่อยและไม่หยุดในอารมณ์ทั้งหลาย
ไม่ปล่อยก็คือว่ายึด
ยึดอารมณ์ทั้งหลาย
และเมื่อยึดอารมณ์ทั้งหลาย
ก็ไม่หยุดการปรุงการแต่งอารมณ์ทั้งหลาย
จึงนำให้เกิดความยินดีความยินร้าย
ความงมงายต่าง ๆ
ฉะนั้น
การปฏิบัติโดยสรุปหรือที่เรียกว่าเป็นทางลัดอย่างง่าย
ก็ให้กำหนดเข้ามาดูจิตเมื่อรับอารมณ์ทั้งหลายทางทวารทั้ง ๖
เมื่อดูจิตก็ย่อมจะพบว่า
จิตมีปรกติยึดไม่ปล่อยอารมณ์
และไม่หยุดคือว่าปรุงแต่งอารมณ์
เว้นไว้แต่ว่าอารมณ์นั้น ๆ
จะไม่พอเป็นที่ตั้งของความยินดีหรือความยินร้าย
ดังที่เรียกในภาษาสามัญว่าไม่น่าสนใจ
ใจไม่สนก็ปล่อยไปและก็หยุดไม่ปรุงแต่งอารมณ์เช่นนั้น
ดั่งนี้แหละที่เรียกว่าอัญญาณอุเบกขา
ความปล่อยความหยุด
หรือความวางความเฉย
ด้วยความไม่รู้
หรือมิใช่ด้วยความรู้
หรือที่เรียกว่า เคหสิตะอุเบกขาดังกล่าวมาแล้ว
อุเบกขาดังกล่าวไม่ใช่เป็นธรรมปฏิบัติ
เป็นของที่ทุกคนก็มีอยู่ด้วยกัน
คือเรื่องอันใดที่ไม่สนใจ
ใจไม่สนก็เฉย ๆ ก็ปล่อยไม่ยึด
แล้วก็หยุดคือไม่ปรุงแต่งต่อ
แต่ว่าเรื่องที่สนใจเช่นว่าอารมณ์อันเป็นสุภารมณ์
คืออารมณ์ที่งดงาม
หรือตรงกันข้ามอารมณ์ที่เป็นอสุภารมณ์
คืออารมณ์ที่ไม่งดงามที่น่าเกลียด
ซึ่งถ้าจะเป็นสุภารมณ์ก็ชวนใจให้ยินดี
ถ้าเป็นอสุภารมณ์ก็ชวนใจให้ยินร้าย
ดั่งนี้ใจก็สน
ก็ยึดไม่ปล่อยและก็ไม่หยุด
คือว่าจับมาปรุงแต่งในใจต่อไป
ดูจิตให้รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร
ในเวลาที่รับอารมณ์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำดังนี้ให้รู้
และเมื่อจิตจับยึดอารมณ์ไม่ปล่อย
และไม่หยุดคือว่าปรุงแต่ง
ก็จะเกิดความยินดีบ้างความยินร้ายบ้าง
ตลอดจนความหลงงมงายต่าง ๆ ดังกล่าว
เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ให้รู้
และให้รู้ว่าอาการดั่งนั้น
เป็นการปรุงของปรุงแต่งเป็นของหยาบ
ไม่ใช่เป็นของละเอียด
ส่วนอุเบกขา
คือความที่นำใจออกมาเป็นกลาง
ที่เรียกว่ามัธยัสถ์ ตั้งอยู่ในท่ามกลาง
ไม่ตกไปในฝ่ายยินดี
ไม่ตกไปในฝ่ายยินร้าย
ตั้งอยู่ในท่ามกลางดั่งนี้เป็นของละเอียด
เพราะว่า
ภาวะของจิตดั่งนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่า
ปล่อยคือไม่จับยึดเอาไว้
และหยุดคือไม่ปรุงแต่ง
ตั้งอยู่ท่ามกลาง
แต่ถ้าตกไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แห่งความยินดีหรือความยินร้าย
ก็จะต้องปรุงแต่ง
ดูจิตให้รู้ดั่งนี้
ก็จะได้อุเบกขา