ไม่มี คนดี คนเลวในโลกแห่งความจริง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2013-10-31 09:43:13
ชีวิตมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาสู่โลก ย่อมมีกิเลสแฝงมาในรากฐานจิตใจอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากเกิดมาแล้ว นอก
จากมีโอกาสสัมผัสกับเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนพื้นฐานความหลากหลาย ดังเช่นที่สัจธรรมได้กล่าวไว้ว่า คนเราเกิดมาล้วนต่างจิต
ต่างใจ เงื่อนไขดังกล่าวย่อมเป็นครูสอนให้วิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ผู้มีโอกาสสัมผัสระหว่างกันและกัน ย่อมนำไปสู่การชำระล้างกิเลสให้เบาบางลงไปเป็นลำดับ
หลายคนอาจมองเห็นสัจธรรมได้จากโลกภายนอกว่า คนนั้นดี คนนี้เลว แท้จริงแล้ว ความดีความเลวหาได้อยู่ที่ผู้ถูกมอง
ไม่ หากเป็นความจริงซึ่งอยู่ในใจของบุคคลผู้มอง นั่นเอง ถ้าผู้มีโอกาสสัมผัสกับเพื่อนมนุษย์แล้วรู้สึกว่า แต่ละคนเป็นคน
เหมือนตน แม้จะต่างจิตต่างใจกันมากน้อยแค่ไหน หากยอมรับได้ บุคคลผู้นั้นควรได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เป็นคนเข้าใจ
ความจริงของชีวิต หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ที่มีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่ง ช่วยให้เปิดกว้าง ย่อมเห็นชีวิตทุกคนมีคุณค่าเหนือตนเองอยู่เสมอ
คนทุกวันนี้มีกิเลสหนา ทำให้เห็นแก่ตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่รู้สึกว่าเป็นคนเลว โดยเข้าใจธรรมชาติการเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ย่อมหยั่งรู้ความจริงได้ว่า สิ่งเหล่านั้นคือเงื่อนไขซึ่งแฝงอยู่ในวิถีการเปลี่ยนแปลงของมวลมนุษย์โลก หากมอง
มนุษย์แต่ละคนอย่างรู้คุณค่า ย่อมไม่เกิดผลในทางทำลายซึ่งกันและกัน แต่สัจธรรมก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาในโลกย่อมมุ่งไปสู่การดับสูญเป็นธรรมดา
ปกติ ศรัทธาและอำนาจ เป็นสิ่งอยู่ด้วยกัน และมีการเปลี่ยนแปลงร่วมกันอย่างเป็นวัฏจักร ตามความเป็นจริงแล้ว อำนาจ
ย่อมนำไปสู่การทำลายล้างซึ่งกันและกัน ส่วนศรัทธา ย่อมนำไปสู่การสร้างสรรค์แก่มนุษยชาติที่อยู่ร่วมกัน ถ้ามนุษย์มีความ
ศรัทธาในความจริงซึ่งอยู่ในใจตนเอง และมุ่งมั่นปฏิบัติโดยรักษาสิ่งดังกล่าวไว้ในวิถีการดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดย่อมบังเกิดศานติสุขขึ้นแก่สังคมร่วมกัน
ถ้าสังคมมนุษย์มีแต่ความศรัทธา ในอนาคตอาจมีมนุษย์เกิดขึ้นและมุ่งวิถีสู่การขยายปริมาณออกไปอย่างกว้างขวางโดย
ไม่มีกรอบจำกัด จนกระทั่งวันหนึ่งย่อมล้นโลกอย่างปราศจากขอบเขต แต่ทุกวันนี้วัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์
กำลังหวนกลับมาสู่อีกด้านหนึ่งเพื่อสร้างสมดุล ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของมวลมนุษย์ในสังคมที่มุ่งไปสู่การสร้างสรรค์ แต่
แท้จริงแล้วมีผลทำลายสังคมมนุษย์สะท้อนให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นร่วมด้วย
หากเรานำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาค้นหาความจริงจากใจเราเอง ในขณะที่มนุษย์กำลังใช้อำนาจแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งคิดว่าเกิด
จากเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ควรรู้ได้ว่า ขณะนี้โลกกำลังหมุนกลับไปสู่อีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งบรรดามนุษยชาติที่กลัวการสูญเสียและ
กลัวความตาย ทำให้บังเกิดความทุกข์ หากเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกบนเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว ย่อมมีโอกาสดับทุกข์ได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ แต่คนที่เห็นแก่ตัว หรือมีกิเลสหนา ย่อมกลัวความทุกข์และความตาย จึงไม่อาจขจัดความรู้สึกดังกล่าวแล้วได้
การเกิดและการตายเป็นของธรรมดา ที่เกิดจากรากฐานจิตใจตนเอง ซึ่งทุกคนควรเรียนรู้ จนกระทั่งเข้าใจและยอมรับ
ความจริง หากเข้า ถึงจุดนี้ได้ ย่อมดำเนินชีวิตด้วยการปล่อยวาง หากมุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคมอย่างมีความสุขเป็น สัจธรรม
ทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกได้สะท้อนเงื่อนปมออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าเข้าใจได้ว่ามันเป็นความจริง ย่อมเกิดความรู้สึกที่เข้าใจชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบุคคลลักษณะนี้ ย่อมดำเนินชีวิตบนพื้นฐานการรู้จักความจริงได้อย่างมั่นคง ซึ่งแท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาย่อมมีความจริงอยู่ในใจตนเองติดมาด้วย แต่ประสบการณ์ชีวิตของหลายๆ คนก็ยังไม่อาจหวนกลับมาเข้าถึงสิ่งดังกล่าว เพื่อการยอมรับได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราจึงต้องต่อสู้กับอิทธิพลของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยปราศจากการหยั่งรู้ได้ว่า แท้จริงแล้ว การต่อสู้กับความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติซึ่งอยู่ในจิตใจตนเอง ควรถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิต ทั้งนี้และทั้งนั้นเนื่องจากผลของการปฏิบัติย่อมทำให้เกิดปัญญาซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว
เรามักพูดถึงธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อม แต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นความจริงได้ว่า ธรรมชาติที่แท้จริงนั้นอยู่ในจิตใจตนเอง
ซึ่งสามารถค้นพบได้จากผลสะท้อนในการปฏิบัติแห่งตน ที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนบนพื้นฐานความหลากหลายอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง
ส่วนสิ่งแวดล้อมหาใช่เพียงวัตถุธรรมซึ่งมีความหลากหลายปรากฏให้สัมผัสได้โดยรอบร่างกายตัวเองเท่านั้น หากหมายถึง ร่างกายซึ่งตนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจิตใจร่วมด้วย ดังนั้นถ้าใครสามารถแยกแยะเอาความจริงซึ่งอยู่ในจิตใจตนเองออกจากอิทธิพลความต้องการของร่างกาย โดยที่สามารถเอาชนะรสชาติซึ่งร่างกายเสพย์ติดกับสิ่งต่างๆ ออกจากกันได้ ย่อมควรแก่การยกย่องสรรเสริญไว้เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
สิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องของศาสนา ความจริงแล้วทุกศาสนาย่อมเน้นความสำคัญของจิตใจ โดย
ถือเป็นศูนย์รวมหนึ่งเดียวกันทั้งหมด
แม้ขณะนี้สิ่งที่สะท้อนออกมาปรากฏ ทำให้เห็นได้ว่ามีความขัดแย้งระหว่างศาสนาเกิดขึ้น แท้จริงแล้วมันก็เป็นวัฎจักรของการเกิด การดำรงอยู่และการดับสูญของมนุษย์ บนพื้นฐานโลกใบเดียวกันของชีวิตคน
เรื่องราวที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด คงมีผลทำให้หลายคนเข้าใจถึงความจริงของการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้บ้าง แต่คน
ยุคนี้เริ่มสะท้อนความรู้สึกให้เห็นได้ว่า มีนิสัยกลัวตาย และห่วงทรัพย์สมบัติ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม ดังเช่น มีการจัดงานวันเกิดกันอย่างแพร่หลาย แต่มีคนที่สะท้อนความรู้สึกถึงการจัดพฤติกรรมเพื่อยอมรับความตาย โดยปราศจากความทุกข์ให้เห็นได้เป็นส่วนใหญ่
ความจริงแล้ว ภายใต้หัวข้อเรื่องที่เขียนไว้ ณ โอกาสนี้ว่า ไม่มีคนดีคนเลวในโลกแห่งความจริง หากวิถีชีวิตซึ่งใช้การ
เรียนรู้ความจริงเป็นพื้นฐาน สามารถก้าวมาถึงจุดดังกล่าวแล้วได้ แต่ละคนย่อมไม่จริงจังกับชีวิตตัวเอง และทรัพย์สินเงินทอง เหนือไปกว่าความรู้ ความเข้าใจที่เข้าถึงธรรมชาติแห่งตน
บทความเรื่องนี้หลายคนอ่านแล้วอาจคิดว่าเข้าใจได้ยาก แต่แท้จริงมีสัจธรรมบทหนึ่งซึ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่มีสิ่ง
ใดที่เหนือไปกว่าความเพียรพยายามของมนุษย์ แต่คนทุกวันนี้มักถูกอิทธิพลวัตถุและความสะดวกสบายซึ่งมนุษย์ในสังคม
ได้รับจากเทคโนโลยีที่ตนก่อไว้ หวนกลับมาทำลายตัวเอง จนกระทั่งไม่อาจสู้กับรสชาติของสิ่งที่ตนเสพย์ติดดังกล่าวแล้วได้ ดังนั้นจึงมักแก้ตัวว่าเรื่องโน้นยาก เรื่องนี้ง่าย หากทำใจให้บริสุทธิ์ ช่วยให้เปิดกว้าง ย่อมมีพลังการต่อสู้กับอิทธิพลจากสิ่งดังกล่าวได้เสมอ
คนทุกวันนี้ดังที่กล่าวไว้ว่า ให้รู้จักพอ ซึ่งหมายถึง ทุกคนย่อมมีพลังภายใน ที่ธรรมชาติได้มอบไว้ให้แก่จิตใจตนเองอย่าง
ทั่วถึง หากดำเนินชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท แต่เพราะมีหลายคนตกเป็นทาส การถูกครอบงำ โดยสิ่งเหล่านั้น จึงทำให้ขาดสติ
และยอมแพ้อย่างราบคาบ คนเหล่านี้เมื่อถึงวันตายควรรู้ได้ว่า เราไม่อาจหนีจากสิ่งดังกล่าวให้พ้นไปจากตัวเองได้ แม้บางคนจะหันมาต่อสู้ แต่ก็คงจำต้องพกเอาความรู้สึกดังกล่าวติดตัวไปด้วย จนกระทั่งไปถึงวันหน้า ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวถือเป็นความจริง ที่สามารถถ่ายทอดจากร่างหนึ่งซึ่งกำลังดับสูญ ไปสู่อีกร่างหนึ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นใหม่ในอนาคตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงพ้น
สรุปแล้วเรื่องราวต่างๆ ภายใต้หัวข้อที่ว่า ไม่มีคนดีคนเลวในโลกแห่งความเป็นจริง หาก มองที่ภาพรวมของสังคม ซึ่งมี
กระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ควรจะรู้เท่าทันว่า ความดีหรือความเลว มันก็เป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของความหลากหลายอัน
เป็นธรรมชาติของสิ่งที่ปรากฏขึ้น และมุ่งไปสู่การดับสูญ หากใครยังยึดติดอยู่กับความดี ความเลว ย่อมอยู่ในสังคมแล้วเข้าใจชีวิตได้ยาก จึงประสบกับความทุกข์ซึ่งแต่ละคนคงไม่พึงปรารถนา