www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

ชีวิตที่มีสุขของดีเจอ้อย
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2013-10-31 09:31:41

ชีวิตแสนสุขของผู้หญิงคิดดีมองโลกในแง่บวก นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล

               นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล หรือ ดีเจอ้อย หลายคนรู้จักผู้หญิงคนนี้ในหลากหลายบทบาท ทั้งดีเจคลื่นกรีนเวฟ นักจัดรายการ "CLUB FRIDAY" และนักเขียน ที่มีสไตล์การจัดรายการได้อย่างน่ารัก และทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่น และมีความเข้าใจเรื่องความรักได้เป็นอย่างดี จนคนตั้งให้เธอเป็น กูรูเรื่องความรัก แต่ใครจะรู้บ้างว่ากูรูด้านความรักอย่างเธอกลับไม่เชื่อเรื่องความรัก...

               "เราจะบอกเสมอถ้าโลกนี้จะสอนความไม่แน่นอนให้มนุษย์จะสอนผ่านความรัก เพราะฉะนั้นข้างหน้าเราไม่มีโอกาสรู้ แล้วบังเอิญงานที่ทำอยู่คือ คลับ ฟรายเดย์ มันมีโอกาสได้เห็นความอ่อนแอ ในเรื่องความรักของหลาย ๆ คน บางคนดูแลใจกันมาเป็น 10 ปี พอแต่งงานแป๊ปเดียวเลิก เฮ้ย...แล้วใน 10 ปีนั้นคุณไม่เห็นจริง ๆ เลยหรือว่าอะไรคือสิ่งเรารับกันไม่ได้ อาจจะเห็น แต่คิดว่าแต่งงานน่าจะเปลี่ยนได้ หรือบางคนเป็นคู่รักที่รักกันมาก แต่อยู่ ๆ เลิกกันเพราะสามีไปมีคนอื่น

               ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา วันที่เขาบอกรักกับวันที่เขาบอกเลิกมันคนละวันกัน สิ่งที่อยู่ในใจเสมอคือ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนในเรื่องความรัก เราไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันนี้ยังเป็นระยะเวลาของเรา 2 คน จงดูแลกันและทำให้ดีที่สุด ถ้าวันหนึ่งอนาคตไม่ได้เป็นอย่างนี้ อย่างน้อยในความทรงจำที่ดีต่อกันน่าจะมีเราอยู่บ้าง...

               เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเชื่อว่าความรักมันแน่นอน ไม่ได้อคติ แต่เราเรียนรู้ว่าคนเราถ้าไม่หมดอายุรักก็หมดอายุขัย บางคนรักกันมากแต่ตายจากกันเพราะอุบัติเหตุ เสียใจมั้ยเสียใจ เพราะหมดอายุขัย บางคนแข็งแรงกันทั้งคู่แต่หมดอายุรักก็ต้องจากกันไป เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าข้างหน้าจะเจออะไร หรืออะไรทำให้เรารู้ได้ว่าเราจะอยู่กับคนนี้ได้นานแค่ไหน มันเป็นการสอนเราเลยว่า เวลาที่คนงอนกันเนี่ยอย่าทิ้งระยะเวลานาน เพราะเราไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าเราจะมีโอกาสได้ง้อกันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำให้ดีที่สุดวันนี้แล้วก็ดูแลกันไป"

        มักจะมีคำคมหรือคำพูดสวย ๆ จนสำนักพิมพ์ต้องเอามารวมเล่ม "อ่านแล้วขอกอด"

               "หลายคนชอบถาม เราพูดประโยคเหล่านี้ได้ยังไง ทำไมเราคิดประโยคเหล่านี้ได้ยังไง เชื่อมั้ยว่ามันเป็นคำถามที่ตอบยากจริง ๆ นะ ซึ่งเราตอบไม่ได้จริง ๆ ว่ามาจากไหน บางทีมันมาจากอัตโนมัติ ถามว่าเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมั้ย เราเป็นคนเขียนหนังสือที่นิสัยไม่ ดีที่อ่านหนังสือน้อยมาก แต่ชอบอ่านอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ชอบสังเกตคน ชอบคุยกับคน ชอบคุยว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ แล้วอยู่ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ อาจจะชอบภาษาไทยที่มีความคล้องจอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้คำคล้องจองเราจะจำแม่น

               หนังสือ "อ่านแล้วขอกอด" เป็นคำคมจริง ๆ เพราะมีคนมาติดต่อขอเอาไปรวมเป็นเล่ม เราก็ตลกมากคนจะอ่านหรือมันเป็นประโยคลอย ๆ แต่เขาบอกตอนนี้คนอ่านหนังสือสั้นลงหยิบแล้วเปิดอ่านโดนเลย เราบอกงั้นก็ได้แต่ขอราคาถูกนะ เนื่องจากกรุงเทพฯ ปีนี้เขาจะทำเป็นมหานครแห่งการอ่าน ประเทศใกล้ ๆ เรา เช่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย อ่านหนังสือปีละ 60 เล่ม แต่เมืองไทยอ่านปีละ 2 เล่ม และมีคนพูดว่าที่อ่านน้อยลงเพราะแพง เราเลยคิดว่าถ้าเราลองทำหนังสือเล่มเล็ก ๆ และเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของหลาย ๆ คน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอหนังสือเล่มแรกจะอ่านเล่มต่อไป เลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้มันจะเป็นหนังสือเล่มแรกของหลาย ๆ คนเราจะดีใจมาก"
 

       มุมมองหรือวิธีคิดในการให้คำแนะนำเรื่องความรัก

               "วิธีคิดมันเกิดจากการสะสมมาจากรอบตัว เหมือนบางคนไม่มีแขน แต่ทำไมเขาหัวเราะได้ดังกว่าคนมีแขน เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าไม่มีแขนก็ไม่เป็นไร อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ฉันก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้นมันเลยสอนในชีวิตว่า บางทีชีวิตอาจจะไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบเหมือนทุกคน แต่เรารู้สึกพอแล้วกับสิ่งที่เรามี เราอาจจะมีความสุขกว่าคนที่มีอะไรสมบูรณ์แบบแต่ไม่พอก็ได้ และเคยมีคนฟังพูดว่าเราโชคดีนะได้มีบทเรียนชีวิตเล่มใหญ่ ๆ ทุกวันเลย จริง ๆ คนฟังที่ โทร.มาเล่าเรื่องให้ฟัง เราก็โอ้โฮ...มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน มันเป็นแบบนี้เลยหรือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเก็บไว้มันตายไปกับเราจะเสียดาย ไหนเราลองเอาไปเล่าต่อสิ เผื่อเรื่องที่เป็นประโยชน์จะทำให้เราคิดได้จะช่วยทำให้คนอื่นคิดได้ด้วย"

 

        เป็นคนคิดดีมองโลกในแง่บวก

               "ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะเงื่อนไขในชีวิตเราเยอะ เจอแต่เรื่องแย่ ๆ มาตลอด แม้กระทั่งมีความรักก็มีรักระ ยะไกล มีชีวิตคู่ยังเป็นชีวิตระยะไกล คบกับแฟนมา 7 ปี แต่งงานกันก็ยังต้องอยู่คนละที่ เจอกันเดือนละครั้ง เพราะต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แฟนค้าขายส่งออกต้นไม้อยู่ที่แม่สอด จ.ตาก แต่งานที่เรารักอยู่ที่นี่ คนอื่นสามารถทำงานที่ตัวเองรักเคียงข้างคนที่เรารัก แต่เราไม่สามารถทำงานที่เรารักเคียงข้างคนที่เรารักได้ เพราะเขาต้องดูแลแม่และพี่สาวที่ป่วย ส่วนเราเป็นหลักของครอบครัวเรา เลยคุยกันว่าอยู่กันแบบนี้ไปก่อน เพื่อเราจะหาเวลาหรือช่วงโอกาสเป็นครอบครัวจริง ๆ"
 

        เวลาที่ตัวเองมีปัญหาแก้ยังไง

               "ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่เราง้องแง้งงี่เง่าตามสไตล์ผู้หญิงทั่วไป ถามว่าเรากับสามีอยู่ไกลกันเข้าใจได้มั้ยก็เข้าใจได้ แต่บางเรื่องก็ทำไมเราต้องไกลขนาดนี้ ทำไมไม่อย่างนั้น คือบางทีในคลับ ฟรายเดย์ คนจะบอกว่าพี่อ้อยช่วยหนูได้มากเลยค่ะ จริง ๆ อยากจะบอกว่าคนที่ โทร.เข้ามาก็ช่วยพี่อ้อยเยอะค่ะ เพราะเราฟังปัญหาคนอื่น เราจะยิ่งรู้สึกว่าคนอื่นเจอเรื่องหนักเนาะ เขายังรอดเลย เขาไม่เห็นท้อง่ายเลย เราเจอเรื่องแค่นี้ทำเป็นท้อซะแล้ว มันเป็นลักษณะแบบนี้มากกว่า ไม่ได้แปลว่าฟังคนอื่นทุกข์ทรมานใจแล้วเราดีใจนะ แต่หมายถึงว่าฟังคนอื่นทุกข์แล้วเขารอด เรารู้สึกเขารอดได้เราก็ต้องรอดได้เหมือนกัน"
 

        ชีวิตถึงถึงจุดคุ้มทุน

               "เราเป็นผู้หญิงต้นทุนต่ำ รู้สึกชีวิตของตัวเองถึงจุดคุ้มทุนไปแล้ว เราเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีอะไรตั้งแต่ต้น ไม่ได้มีฐานะการงานที่ดี ไม่ได้มีอะไรที่ดี พอวันหนึ่งเราได้ทำงานที่ตัวเองรัก เราสามารถช่วยเหลือคนที่เรารักในครอบครัวได้ มันถึงจุดคุ้มทุนแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ทุกสิ่งที่ทำ เพื่อโบนัสแล้ว บางคนส่งเอสเอ็มเอสเข้ามาบอกวันนี้วันเกิดเศร้าจังเลย ไม่มีใครจำได้เลย ไม่รู้แหละ เราโทร.กลับนะ ต่อให้เขาไม่ได้ออกอากาศด้วยซ้ำ แต่เราอยากให้เขารู้สึกดีกับวันเกิด รู้สึกอยากทำให้เขา"
 

        ปรัชญาในการดำเนินชีวิต

               "ทำวันนี้ให้ดีที่สุดทั้งเรื่องงาน ชีวิต ชีวิตครอบครัว ถ้าพรุ่งนี้มันจะไม่ดีเท่าวันนี้ อย่างน้อยเราได้ทำดีที่สุดแล้ว วันนี้ภูมิใจกับคนที่ไม่เคยคาดหวังอะไรกับชีวิต ตอนแรกแค่คาดหวังให้เรียบจบก่อน จนได้ทำงาน จนวันนี้เราได้ดูแลคนที่เรารักอย่างเต็มที่"
 

        มุมมองความรักของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้

               "มันก็จะเติบโตกันไปตามยุคตามสมัย และตามการสื่อสาร ยุคนี้ต้องยอมรับว่าการสื่อสารมันง่ายเหลือเกิน แต่ทำไมคนเรากลับเหงาง่ายทั้งที่การสื่อสารมันง่าย ดูจอคอมพิวเตอร์ได้ ไม่มีใครไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไม่มีใครไม่เล่นทวิตเตอร์ เรากำลังจะพูดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เมื่อก่อนไดอารี่ยังห้ามอ่าน ปัจจุบันรู้สึกยังไงก็แปะในเฟซบุ๊กหมด กำลังจะเข้าห้องน้ำค่ะ เรื่องแค่นี้ต้องบอกในเฟซบุ๊กด้วยหรือ ทำไมเราถึงเหงากันง่ายขึ้น

               เพราะฉะนั้นเราเองอาจจะเหงา คิดว่าตัวเองเหงา พยายามหาเหตุผลให้เราทำไม่ดี ก็เหงาค่ะพี่ มีแฟนไม่มีเวลาให้หนูเลยไปคบกับอีกคนหนึ่ง แต่คนนั้นเขามีภรรยาแล้วนะคะ เอ้า...ทำไมเดี๋ยวนี้คนเราซีเรียสกับเรื่องแบบนี้น้อยลงมาก ทำไมน้องไม่ซีเรียสเหรอคะ เขามีภรรยาแล้ว หนูไม่คิดอะไรมากค่ะ ก็จะบอกว่าคิดมากบ้างก็ได้ค่ะ

               คือเด็กยุคนี้ดูชิลล์ซะจนชิลล์ไปกับทุกเรื่อง แต่พอชิลล์ไปกับทุกเรื่องปั๊บ ปัญหาก็ตามให้แก้แบบไม่ชิลล์ การที่เราเห็นมีคนทำแท้งเยอะมาก เพราะเราเห็นว่าชิลล์ ๆ ค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ ก็รักค่ะก็อยู่ด้วยกัน พอท้องเขาบอกให้ไปเอาออก ก็ไปเอาออกค่ะ คือชีวิตมันง่ายไป ทุกคนดูถือสากับเรื่องแบบนี้น้อยลง แต่จริง ๆ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก"
 

        ได้ทำบุญโดยไม่รู้ตัวกับการช่วยเหลือคน

               "เราคิดว่าอย่างน้อย ไม่รู้สิ ทำเพราะคิดว่าทำเพื่อการขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแบบไม่เคยคิดมาก่อน อย่างที่บอกถึงวันนี้ได้โดยที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นเราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยคนอื่นเป็นการขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เราได้สิ่งดี ๆ ในวันนี้แล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าขอบคุณอะไรอยู่ แต่เราจะขอบคุณแล้วกัน และจะช่วยอันนั้นช่วยอันนี้ ถ้าอันไหนช่วยได้ช่วยเลย

               ถือว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยอยากได้ แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่าความสำเร็จในวันนี้ที่รู้สึกว่าตัวเองมีคือความสุขแล้วกัน มันเป็นความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก แค่คนในครอบครัวดูแลตัวเอง มีสุขภาพที่แข็งแรง ดีใจแล้ว แค่สามีวันนี้เราเคยรู้สึกดีต่อกันยังไง แม้โจทย์จะยากแค่ไหนเรายังบอกว่าเรารู้สึกดีต่อกันแค่ไหนได้ทุกวันก็ดีใจที่สุดแล้วค่ะ"
 

        คำแนะนำสำหรับน้อง ๆ ที่อยากเป็นดีเจ

               "มีเด็กรุ่นใหม่อยากเป็นดีเจเยอะมาก แต่เรื่องของความเป็นตัวเอง บางคนรู้สึกอยากเป็นดีเจแบบนี้ เราอยากตลกทั้งที่ตัวเองอาจไม่ใช่คนตลกก็ได้ หลายคนพยายามเป็นดีเจอย่างที่ตัวเองอยากจะให้ตัวเองเป็น แต่ไม่ค้นพบตัวเองว่าในที่สุดแล้วเราเป็นดีเจแบบไหนกันแน่ เข้าใจว่าเวลาที่เราอยากเป็นอาชีพนี้ก็ต้องหาไอดอลของแต่ละคน

               แต่อยากจะบอกว่าฟังคนนั้นได้ แต่อย่าติด อย่าไปฟังคนนี้คนเดียว เปลี่ยนไปตรงนั้นตรงนี้ คนที่เราฟังแล้วก็ชอบก็ต้องฟังเพื่อตอบตัวเองให้ได้ว่าเราชอบดีเจคนนี้เพราะอะไร หรือคนนี้ไม่ชอบก็ต้องฟังเพื่อตอบตัวเองให้ได้ว่าไม่ชอบคนนี้ เพราะอะไร เรื่องบุคลิกก็สำคัญ ไม่จำเป็นว่าต้องหน้าตาดีหรือสวย แต่ให้เป็นตัวของตัวเอง เสน่ห์ของเราไม่ได้เกิดจากการสร้าง แค่หาตัวเองให้เจอก่อน ดีเจทุกคนจะมีบุคลิกและเสน่ห์ของตัวเอง"

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ที่มา หนังสือภาพยนตร์บันเทิง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์