พุทธสติ โดย หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2013-02-18 15:45:06
ธรรมะโดย หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
"มีสติ ฝึกภาวนา เป็นอริยทรัพย์ ติดตัวไปได้หลายหมื่นชาติ
ส่วนทรัพย์สมบัติทางโลก ชาติเดียวยังเอาไปไม่ได้"
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา พระธรรมจักร ท่านทรงแสดงอริยมรรคก่อน แล้วจึงทรงแสดง อริยสัจธรรม ๔ นี่คือที่สำคัญที่สุด ถูกต้องตามธรรม (ดา) คือ เมื่อรู้จักหนทางถูกเดินหนทางถูกแล้ว จึงถึง ที่ ถูกต้อง
การที่สรรพสัตว์ เทวดาพรหมณ์ มนุษย์ (นอกพุทธ ไม่สามารถได้รู้หนทางถูกต้องได้... ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้นั้น ยกไว้เสีย) แม้พุทธบริษัท ที่ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลแต่โสดาบันขึ้นไป
เมื่อไม่ปฏิบัติให้อริยมรรคบังเกิดขึ้น จะโดยได้ฟังพุทธธรรม โดยตรงจากพระพุทธองค์ หรือโดยได้ศึกษา พระพุทธวจนะ มีพระสูตร พระปริยัตติธรรมทั้งหลายเป็นต้น
แล้วลงมือปฏิบัติตามหลักศรัทธาที่ถูกต้อง คือ ศีล ภาวนา หรือตามธรรมสี่ประการ ที่จะให้บรรลุพุทธธรรม คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ปัญญา จนบรรลุผล ก็ไม่พ้นทุกข์เหมือนกัน
อย่างดีที่สุดก็เพียงมีโอกาสได้ไปสู่ สุคติบ่อย ๆ มากกว่า และได้สร้างบุญบารมี สิบ ปัจจัยสำคัญ ที่จะให้ถึงการเข้าศึกษาพุทธได้สำเร็จ พุทธสติ มหาสติปัฏฐาน เป็นที่รวมอริยมรรค ในการปฏิบัติภาวนา เป็นเอกายมรรค นอกจากนี้ ไม่มีหนทาง
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ในสมัยพุทธกาลในเรื่องนี้ก็มี เช่น
๑. มหาอำมาตย์ คนหนึ่งมีเรื่องทุกข์ร้อนมาก วิ่งไปวัดเพื่อขอให้พระพุทธองค์ช่วย เมื่อเขาไปถึงวัด อันเป็นที่ประชุมชน พร้อมทั้งพุทธบริษัท มีพระพุทธองค์เป็นองค์ประธาน และพระพุทธองค์ก็ได้ประกาศล่วงหน้าแต่เช้าวันนั้นว่า เขาจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูด พระพุทธองค์ทรงตรัสเสียก่อนว่า มหาอำมาตย์ กังวลอะไรของเธอในอดีต วาง... กังวลอะไรของเธอในอนาคต วาง กังวล อะไรของเธอในปัจจุบัน วางเขาได้สำเร็จอรหันต์ทันที
ทราบในทันทีว่า พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศทายไว้แล้ว พุทธบริษัทประชาชนทั้งหลาย ยกเว้นพระอรหันต์ ยังไม่เชื่อเป็นผลร้ายต่อพวกเขา โดยเมตตาธรรม ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้พ้นโลก ไม่ใช่ปุถุชนมหาอำมาตย์ต่อไปล้ว จึงเหาะขึ้นสู่อากาศ สูงหลายชั่วลำตาล ๓ ครั้ง
ชนทั้งหลายจึงเชื่อว่า พุทธทำนายในตอนเช้าวันนั้น เป็นจริง พระพุทธองค์ทรงแนะให้ท่านแสดงอดีตชาติว่าได้ทำบุญอะไรมา ท่านได้แสดงว่าได้ทำบุญไว้มากมาย โดยเฉพาะ นำชนมาสู่พุทธธรรมและได้มีอภิญญารู้ว่า อายุขัย ของท่านหมดแล้ว
จึงไม่กลับมาสู่พื้นดิน นิพพานในอากาศ โดยเตโชธาตุลุกขึ้นเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว ธรรมทั้งหลาย กายใจก็บริสุทธิ์ แม้มหาภูตรูป (matter) ดินน้ำลมไฟที่ประกอบ รูปกาย ก็กลายเป็นพระธาตุล่วงลงมาดังดอกมะลิ พระพุทธองค์ให้ชนทั้งหลายเอาผ้าปูรับไว้แล้วพระเจดีย์บรรจุไว้ที่ทางสี่แพร่ง
ลองทดลองทำดูซิ ในราว ๒๐ - ๓๐ ปี คงได้ผล ไม่มากก็น้อย โดยปริยัตติ ก็คือว่าวางกังวล ก็คือ วางกังวล (เลิกเกี่ยวข้องเลิกยึดมั่น) ขันธ์ห้า (ภาระหนัก) นั่นเอง ลองเจริญสติอันนี้ดูเถอะ นี่คือสติปัฏฐานด้านปฏิบัติ วางได้ ก็เรียบร้อยเท่านั้น
จิต พ้นยึดมั่น ขันธ์ห้า (สังขาร) ก็เป็นจิตบริสุทธิ์ วิมุตติจิต หลุดพ้นหลงภพโลกเราเขา สังขารธรรมทั้งหลายไปได้ กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อพยากตาธรรม สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ อดีตอนาคตปัจจุบัน สัญญา (โลกอวิชชา)
๒. ปริพาชกนักบวชตนหนึ่ง ไปขอฟังเทศน์พระพุทะองค์ที่ข้างถนน ระหว่างที่พระพุทธองค์และหมู่สงฆ์ออกบิณฑบาตตอนเช้าถึง ๓ ครั้ง อ้างว่ารอไม่ได้ เพราะไม่รู้อนาคต พระพุทธองค์ จึงทรงตรัสว่า
ถ้าเช่นนั้น เธอพึงตั้งใจฟังให้ดี เมื่อเธอเห็นรูป รูปนั้นสักแต่เห็น เขาสำเร็จ อนาคาธรรมทันที ไม่กลับมาสู่ภพอีกแล้ว แต่ยังอยากบวช พอเขาถอยออกมา ก็พอดีโคกระทิงคู่เวรเก่า วิ่งมาทางนั้น ชนเขาตายทันที
หมู่ภิกษุสงฆ์ซุบซิบถามกันว่า เขาจะไปเกิดที่ไหนหนอ พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า 'เขาเป็นผู้ไม่ทำให้ตถาคตลำบากเปล่า' (เหมือนพวกเราทั้งหลาย)
เอ้า ลองทำดู ๒๐ - ๓๐ ปี อาจรู้เรื่อง
๓. ปฏิบัติทางสั้นที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็คือ "ภิกษุเองจะพึงวางกังวลในขันธ์ห้า เสีย" นี่คือ หัวใจสติ หัวใจอริยมรรค ถ้าวางกังวลได้ในขันธ์ห้า
จิตพ้นเกี่ยวข้องขันธ์ห้า ก็พ้นทิฏฐิทั้งสิ้น เพราะพ้นสังขารทั้งสิ้น ถึงจิตวิสังขาร คือ จิตแท้ ไม่ใช่สังขาร ไม่มีสังขาร ไม่ใช่ภพโลกคนเทวดา สัตว์โลกทุกชนิด หรือที่พระนักปฏิบัติ เรียก จิตเป็นกลาง
อมตจิต ที่บริสุทธิ์แล้วก็หยั่งลงสู่ อมตสัจธรรมบริสุทธิ์ พระวิสังขารธรรม คือ นิพพานธรรม อกาลิโก ไม่มีเรื่องกาลเวลาของโลกอวิชชาหลง เป็นอมตสัจธรรม ไม่ใช่ มตธรรม หลงความผิดว่า 'เรา' ego, self เกิด ตาย จะเกิดจะตาย
แม้โสดาบันก็เห็นอมตธรรม พระนิพพานเท่านั้นจริง ไม่ใช่มตธรรมโลกหลง เป็นเรา เขา, แก่ เจ็บ ตาย เมื่อจิตพ้นโลกหลง เป็นโลกุตตรจิต โลกุตตรสุข วิมุตติสุข แล้วโลกธรรมแปดหมดอำนาจ (สุขทุกข์ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ฯลฯ)
อ้าว ลองทำดู สัก ๒๐ - ๓๐ ปี คงได้ผลไม่มากก็น้อย
๔. ปฏิบัติทางไม่สั้นไม่ยาว วางกังวล เลิกเกี่ยวข้องขันธ์ห้าไปเลย เมื่อวางกังวลขันธ์ห้าได้ จิตทิ้งสังขาร เข้าถึงวิสังขาร พระนิพพาน อย่างท่านอาจารย์มั่นว่า รู้จริง ทิ้งสังขาร
เกิด ดับ (ได้ยิน, ูรู้, ฟัง) (วิญญาณ) ไม่เหลียวไม่แล ไม่แลไม่เหลียว (สักแต่) คราวนี้ ใจ (จิต) เป็นใหญ่ (จิตแท้) ไม่หมายพึ่งสัญญา (ไม่มีสังขารหลง) ไม่มีหลงตนหลงภพหลงโลก รู้พ้นอยู่ต้นจิต ไม่คิดอ่าน (ภิกษุณีอรหันต์องค์หนึ่งกล่าวว่า เราถอน ตัณหา ได้แล้ว
จิตตั้งมั่นอยู่ภายใน เมื่อจิตถึง วิสังขาร ก็เป็น จิตวิสังขาร (จิตพ้นอวิชชาปัจจยาสังขารา) หยั่งลงสู่ ธรรมวิสังขาร นิพพานเหมือนน้ำใสไหลจากห้วยสู่ น้ำใสในมหาสมุทร อันหาขอบเขตมิได้ ไม่ได้สูญหายไปไหน จะว่าหายโง่ หายจากโลกโง่ ภพโง่ ก็ได้ ไม่หายไปไหน อยู่ที่ อมตมหานิพพาน ก็ได้
๕. ปฏิบัติระยะยาว
อันนี้ก็เริ่มที่ 'รู้สักแต่รู้' หนะแหละ ผู้มีบารมีมาก แจ่มแจ้งนิพพานทันที ผู้มีบารมียังไม่มากพอ ก็ต้องฝึกจิตในสติ รู้สักแต่รู้ ได้ยินสักแต่ได้ยิน ฯลฯ จนกว่าจะเกิดเป็น โลกุตตรสติธรรม ให้ผลทันที สิ้น อยาก สิ้น ยึด สิ้น กรรม ภพหลง โลกหลง ตนหลง (ในขันธ์ห้า)
แค่นี้ก็พอ "รู้" เป็นวิญญาณธรรมดา "รู้สักแต่รู้" เป็นวิญญาณสติ ทรงไว้ซึ่งพุทธธรรมเหนือโลก วิญญาณสติ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็น จิตสติ ปรากฏขึ้น (เป็น โลกุตตรจิต ถึงโลกุตตรธรรม คือ พุทธสติ) เป็นจิตสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่อง ไม่เดือดร้อนขาดเหลือ(perfect)
ย่อมเข้าถึง ธรรมสมบูรณ์ สัจธรรม อมต นิพพาน) เป็นจิตธาตุ (จิตเดิมแท้) ไม่ใช่สังขาร โลกภพตนหลง เป็นจิตวิสังขาร (ถึง วิสังขารสัจธรรม อมต นิพพาน) หยั่งหลงสู่ วิสังขารธรรม (วิสังขารคตังจิตตัง)
จิตตถาคต (บริสุทธิ์) หยั่งหลงสู่วิสังขารธรรม (ไม่มีหลงเสียแล้ว) ในตอนนี้ ถ้า วิราคะจิต ขั้นโลกุตตรจิตเกิดถึง โลกุตตรธรรม คือ วิราคะธรรม (พระนิพพาน) ได้ ถ้าเป็นจิตคลายกำหนัดในกาม เกิดขึ้น สังโยชน์ เครื่องผูกจิตละได้ยาก ก็ขาดไปเด็ดขาด (ไม่ใช่ชั่วคราว เช่น เข้าฌานสมาธิ)
ทั้งสังโยชน์ที่มาด้วยกัน คือ โทสะ ปฏิฆะ ขัดเคืองใจ พยาบาท ก็ถูกตัดขาดจากจิตพร้อมกันเด็ดขาด รวมทั้งวิหิงสา ความคิดเบียดเบียนสัตวโลก กามภพดับไปจากจิต ถ้าจิตวิราคะในรูปฌานอรูปฌาน เกิดต่อไป สังโยชน์เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ ก็ถูกต้องออกไปเด็ดขาด
พร้อมสังโยชน์ที่เหลือ มีมานะ เป็นต้น เป็นอัน ภพสาม กาม, รูป, อรูดับ หรือ ลูกตุ้มนาฬิกา (pendulum) ที่แกว่งไปสุดทางหนึ่ง (คือ กาม) แล้วก็แกว่งกลับไปจนสุดอีกทางหนึ่ง คือ สมาธิ แกว่งไปมาไม่รู้จักสิ้นสุด (หรือโคจรของจิตอวิชชา) เป็นอันหยุดนิ่ง
ตอนนี้สิ้นวัฏฏสงสาร ตัวทุกข์แท้ หรือ อุปาทานขันธ์ห้า อริยสัจทุกข์ ไม่ใช่แบบความคิดปุถุชน เสียโน่น เสียนี่ แต่เป็นทุกข์เพราะโง่ เพราะหลงตน ego concept สักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้าเป็นต้น
๖) สรุปแนวปฏิบัติสติ
ธรรมทั้งหลายไม่พึงถือมั่น เป็นยอด พุทธสติ นั่นก็คือ รู้ สักแต่รู้ (hearing, hearing only-no doing - end, the world หรือ ธรรมเป็นธรรม (Dhamma be Dhamma) นโสเหตวัง วิวาโท ปรากฏ (สุดสมมุติภาษาไม่มีถามตอบ) น ตลัง กา สลัง โลกุตตรสันต์ เป็น สันติสุขเหนือโลก
เท่านี้แหละโยม ทั้งหมด
นอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ นิพานํปรมํสุขํ เป็นสุขยอดเยี่ยม หรือ นอกจากสัจธรรม คือ นวโลกุตตรธรรม มรรคสี่ผลสี่นิพพานหนึ่ง แล้วก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะ เมื่อ สติคั่น วิราคะจิต เกิด กาย วาจา ใจ เป็น วิราคะทั้งหมด จิตถึงสัจธรรม
อตังที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ อันบรมนิวาส กล่าวว่า เห็นตนเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นตน (คือเห็นอริยสัจธรรม ขั้นใดขั้นหนึ่ง ในกายวาจาจิต) พอใช้ได้ จิต วิรัชชติ ไม่ติดในสรรพสิ่ง จึงเกิดขึ้น
จิตวิมุติ หลุดพ้น ถึง วิมุติธรรม (พ้นสมมุติ) พระนิพพาน เป็นโลกุตตรสุข วิมุติสุข จึงจะพ้นอำนาจโลกได้เด็ดขาด ต่อให้โลกระเบิดก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ว่าโดยย่อ รู้สังขารไม่เที่ยง วางกังวลทั้งหมด
-----------------------------------------
คัดลอกจาก: เสียงจากปากเกร็ด