www.trueplookpanya.com
คลังความรู้
แนะแนว
ข่าวรับตรง
ธรรมะ




ธรรมะ > บทความธรรมะ

ของขวัญวันปีใหม่
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2013-01-02 14:38:37

ของขวัญวันปีใหม่

 

ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่อยู่เหนือทุกสิ่ง

คือทุกๆสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และรวมทั้งตัวเราด้วย

เราคือของขวัญอันยิ่งใหญ่ดุจเพชรเม็ดงามบริสุทธิ์อันมีค่า

ที่ธรรมชาติสรรสร้างไว้อย่างงดงามให้กับโลกนี้


เราเปรียบเสมือนของขวัญอันบริสุทธิ์

ที่ธรรมชาติมอบไว้ให้กับพ่อแม่ของเราเป็นปฏิมากรรมชิ้นงามที่มีชีวิต


ขอให้เรารักและภูมิใจในตัวเราเองมากๆ เพราะเราเป็นของที่มีค่าสูงสุด

หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้

 

แต่บางครั้งเราอาจดูถูกตัวเองมากจนไร้ค่า

คงเป็นเพราะเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากจนเกินไป

ว่าเราไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เก่ง ไม่รวย ไม่มีเกียรติ ไม่เหมือนใครเขา


แค่คิดง่ายๆว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างจักรกลใดๆ

ที่คิดเองได้ เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว

มีมือที่ทำงานได้ดีกว่าแขนกลใดๆที่สร้างขึ้น

มีเซ็นเซอร์รับสัมผัสได้ละเอียดอ่อน

สามารถสร้างสุขและทุกข์ในจิตใจได้ด้วยตัวเอง

แถมยังรู้จักผิดชอบชั่วดี สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้อย่างไม่จำกัด

ใช้พลังงานเพียงอาหารจากธรรมชาติแค่นั้นเอง

และเรายังสามารถผลิตมนุษย์รุ่นต่อๆได้อย่างไม่จบสิ้น ^^


จะต้องใช้งบประมาณหลายร้อยล้านในการสร้างหุ่นยนต์สักตัวหนึ่ง

ให้มีความสามารถเท่ากับคนธรรมดาๆคนหนึ่งอย่างพวกเรานี้

ก็ยากสุดแสนจะยาก

 

แต่ที่มนุษย์มักไม่รู้และมักจะดูถูกว่าตัวเองไม่มีค่าเพราะอะไร?

 

ในปัจจุบันนี้ เราลำบากเรื่องการกินอยู่น้อยลง

เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราลำบากมากกว่าสัตว์ทั้งหลายที่ต่ำกว่าเรา


นั่นคือ”ความคิด”

และความคิดนี่เองที่ทำให้เราเกิดสิ่งที่เราเกลียดมากที่สุด

นั่นคือ”ความทุกข์”นั่นเอง

 


“จงคิดบวก” เป็นคำพูดที่พูดง่ายแต่ดูเหมือนจะทำได้ยาก

คิดอย่างไรจึงจะบวก คิดแต่แง่บวกอย่างนั้นหรือ

มันจะทำได้จริงหรือ?


ที่จริง”คิดบวกนี้”ควรเรียกเสียใหม่ว่า”รู้จักที่จะคิดในแง่อื่นๆบ้าง”

จะถูกต้องกว่าการ"ห้ามความคิดลบ"ที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว

แค่เราคิดในแง่อื่นๆได้อีกตามประสบการณ์และการเปิดใจยอมรับ

มุมมองและความจริงที่ต่างไปจากเดิม

ก็เรียกว่า"คิดบวก"ได้แล้ว

 

สมมุติว่าปัญหาคือวัตถุก้อนหนึ่งตั้งอยู่

ไม่ใช่แค่มีมุมมองเดียว ความจริงเดียว ในเวลาเดียวเท่านั้น

แต่เรามีมุมมองอยู่ 360 องศา มีความจริงสามระดับ

และมีเวลาในการมองอยู่สามช่วงทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

 

เรามีมุมมองรอบวัตถุนั้น 360 องศาที่ต่างกัน

เราจะเลือกมุมมองที่เห็นด้านมืด ด้านสว่าง หรือเห็นทั้งมืดและสว่างก็ได้


และมีความจริงอยู่อย่างน้อยสามระดับเลยทีเดียวคือ


ประการแรก ความจริงตามตรรกะคือตามคิดความนึกตามความเคยชิน


สอง ความจริงตามสมมติหรือค่านิยมในโลกนี้


และสุดท้ายความจริงที่อยู่ในระดับของจิตใจเหนือสมมติ

หรือที่เรียกว่าสัจธรรม

 

ยกตัวอย่างความจริงในระดับต่างๆเช่น

 

คนทุกคนต้องปฏิบัติตามกฏหมาย


คนดีต้องทำดี คนชั่วต้องทำชั่ว หรือ ไม่ถูกก็ผิด ไม่ผิดก็ถูก

นี่คือความจริงระดับความคิด ตามความเคยชิน(ตรรกะ)

ง่ายๆแบบเด็กๆที่ยังไม่เข้าใจอะไรมาก เป็นความจริงในระดับกฎระเบียบ

ไม่มีเหตุผลประกอบว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น ?

 

คุณหมอต้องมีจรรยาบรรณ ตำรวจต้องรักษากฎหมาย

ข้าราชการต้องซื่อสัตย์ นักบวชต้องเคร่งครัดต่อการปฏิบัติ

ถ้าเก่ง สวย หล่อ รวย มีเกียรติแล้วจะมีความสุข

ถ้าทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามจะมีความสุข

นี่คือความจริงในระดับสมมติหรือค่านิยมในสังคม

สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

บุญบาปมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง

ความอยากนี่เป็นสาเหตุของความทุกข์

มนุษย์สามารถพ้นจากความทุกข์ได้

นี่เป็นความจริงระดับสัจธรรม

เป็นความจริงที่เหนือสมมติหรือเหนือการคิด

คาดคะเนของคนทั่วไป รู้และสัมผัสได้ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยการคิด

บางครั้งต้องอาศัยศรัทธาในศาสนาเข้าช่วยเพราะบางเรื่องเรายังไม่เข้าใจ

หรือยังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตัวเอง

ศาสนาทุกๆศาสนาสอนความจริงในด้านนี้ให้เรามากที่สุด

ในความจริงทั้งสามนี้ ความจริงอันเป็นสัจธรรมนี้

ทำให้เกิดการปล่อยวางมุมมองในด้านมืดที่เราติดอยู่ได้เป็นอย่างดี

ส่วนความจริงในสองระดับแรกทำ

ให้เกิดการยึดติดการมองในด้านใดไว้เพียงด้านเดียว

ความจริงนั้นสัมพัทธ์กับช่วงเวลาต่างกันอีกด้วย

คือเวลาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต


เราอาจหลงตัดสินใจว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกโดยใช้ประสบการณ์ของเรา

ในอดีตเพียงอย่างเดียว เราต้องเข้าใจโลกปัจจุบันให้มากๆ

และการคาดคะเนปัญหาในอนาคต

ทำให้เกิดความกังวลจนเกินความจำเป็น

เช่นตอนนี้เป็นอย่างนี้ ต่อไปจะแย่ลงอีก เลยกังวลกันไปใหญ่

เหตุการณ์วันสิ้นโลก 2012 ทีผ่านมานี้

เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม


ขอให้มองและเห็นคุณค่าในตัวเราเอง

คนที่เห็นคุณค่าในตัวเองจะไม่ทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองไร้คุณค่าเป็นอันขาด

ขอให้ใช้สติ รู้ตัวให้ชัดเจนอย่าเผลอทำตามอารมณ์ไปทันที


สังเกตมุมมองของเราต่อสิ่งนั้น

ถ้ามองแล้วทำให้เกิดความทุกข์กับตัวเอง

ให้ใช้มุมมองอีกมุมที่เป็นบวกกว่าเก่า

อยู่ในด้านสว่างมากกว่าเก่ามาเข้าช่วย


ดูว่าเราติดความจริงในระดับใดอยู่


แล้วใช้ความจริงในระดับที่สูงกว่ามามอง

เช่น เราอาจคิดว่าคนนั้นถูกคนนั้นผิดเป็นความจริงในระดับความเคยชิน

ก็ให้ใช้ความจริงในระดับสัจธรรมเข้าช่วยเพื่อให้เกิดความเข้าใจ

และสามารถปล่อยวางความคิดด้านลบ

เข้ามาสู่ความจริงในแง่มุมอื่นๆที่เป็นบวก

มองไปอนาคตอย่างมีความหวัง

อยู่กับปัจจุบันอย่างรู้เท่าทัน

เรียนรู้จากอดีตที่ผิดพลาดมาแล้ว

และเก็บจดจำสิ่งดีๆทีผ่านมาเต็มพลังให้ชีวิตในปัจจุบัน


มีความคิดดีๆที่จะทำให้เรามีกำลังใจ

ที่จะสู้งาน สู้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขในวันข้างหน้าต่อไป


นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่อยากฝากไว้

ให้กับเพื่อนๆทุกคนในช่วงปีใหม่นี้นะครับ ^^

เรื่องและภาพประกอบ วนารักษ์(อิกคิว)
อ่านเรื่องอื่นๆได้ที่ วนารักษ์ บล็อกแก๊งค์

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aeroter