ปั้นน้ำให้เป็นตัว ไม่น่ากลัวกว่าปั้นจิตให้เป็นตน โดย พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2012-11-23 10:22:50
ดอกเมฆขาวสยายกลีบอยู่บนท้องฟ้า
กลีบอันปุกปุยยามต้องแสงตะวันอาบละอองรุ้ง
เหมือนขุนเขาสลับกลีบซับซ้อนที่ก่อตัวจากละอองน้ำ
บิดพริ้วรุ่ยร่ายไปตามละอองลม
เหมือนกลีบดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่
พรูพรายละอองเกสรเป็นละอองฝนอบอวนไปในอากาศ
เม็ดฝนเหมือนเข็มแก้วเจียระนัย
ควงพลิ้วจากฟากฟ้าลงปักสู่สายน้ำ บนแผ่นดิน บนใบไม้
หยดน้ำที่เหมือนดวงแก้วนิ่มๆ เชื่อมต่อติดกัน
ยามเมื่อได้พบกันเหมือนใจกับใจ
หยดน้ำกับหยดน้ำต่างขังอยู่ในแอ่งหิน คนละแอ่ง คนละรูปร่าง
บางแอ่งน้ำขังคล้ายรูปร่างของหญิงสาว
บางแอ่งคล้ายชายอันบึกบึน
แต่บางแอ่งคล้ายใบหน้านักการเมือง นักบวช ศิลปิน นักธุรกิจ กรรมกร
มิสิ้นสุดด้วยรูปร่างที่แตกต่าง
ส่งประกายจากดวงแก้วนิ่มๆ
ยามกระทบแสงตะวัน และกำลังระเหยกลายเป็นละอองน้ำ
แช่มช้าและแผ่วเบา
ทิ้งแอ่งรูปร่างที่ต่างกัน บรรจบเป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์
ต่อเป็นผืนแพใหญ่ของหมู่เมฆ ท่องเที่ยวไปในท้องฟ้า
หากเราได้มีโอกาสตื่นแต่เช้า
เราจะพบว่ามีของขวัญมากมายรออยู่หน้าบ้าน
ที่ริมของหน้าต่างและบนสนามหญ้า
มีอัญมณีและดวงแก้วเล็กๆ หลายสีสันถูกทิ้งเกลื่อนกลาดส่องประกายระยิบระยับ
ด้วยหยาดน้ำค้างอยู่ในพงหญ้า
มันกำลังระเหยตัวแช่มช้าเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที
สายลมในยามเช้าจะทนุถนอมชีวิตในวันใหม่ของเราไว้ด้วยลมหายใจซึ่งอบร่ำไอเย็น
จากเมื่อคืนหมักตัวจากบานของสายหมอก
เพื่อเป็นลมหายใจอันอ่อนโยนของเรา
เมื่อเราตระหนักรู้ว่าของขวัญมากมายที่พรูพรายเข้ามาในชีวิต
เมื่อเราก้าวออกจากบ้านสวนทางกับผู้คนที่ใช้ลมหายใจร่วมกับเรา
เรากำลังเดินผ่านครูบาอาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์อันประกอบเป็นชีวิต
ต่างหน้าที่ ต่างพฤติกรรม
ทุกสายตาของพฤติกรรมที่กระทบกันด้วยหน้าต่างของหัวใจ
ที่เปิดหรือปิดก็แล้วแต่
ล้วนถ่ายทอดความรู้กันและกัน
ด้วยสิ่งที่กระทบเข้าสู่จิตใจและผลิแย้ม
เราเพียงแต่เฝ้าสังเกตดูเหตุปัจจัยที่ทำให้ดอกไม่ในหัวในเราผลิบาน
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้แห่งเปลวเพลิงที่เบ่งบานจากการกระทบด้วยเสียง
หรือถ้อยคำที่ไม่ชอบ
ดอกไม้แห่งราคะที่เบ่งบาน เมื่อตาสัมผัสกับรูปที่สวยงาม
ทุกสิ่งไหลผ่านมาทางประตูทั้ง ๖ อย่างรวดเร็ว
หูกับเสียง ตากับรูป จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับสัมผัสใจกับธรรมารมณ์
ทุกอย่างไหลผ่านมาทางประตูมากดปุ่มที่ใจ
บทเรียนที่พรูพรายที่ต้องอาศัยสติที่ฉับไว จัดสรรอย่างรู้เท่าทัน
ก่อนที่ระลอกของหัวใจจะกระฉอกทะลักล้นถ้อยคำ
หรือแววตาที่สาดละอองดอกไม้เพลิง เข้าโต้ตอบ
หรือทอดสะพาน แห่งเถาวัลย์ผ่านแววตาเข้าร้อยรัด
พรากอิสรภาพไปจากปัจจุบัน
ขณะหากรู้ไม่เท่าทัน ห่อของขวัญที่ธรรมชาติประทานให้
อาจกลับกลายเป็นลูกระเบิด
ระเบิดหัวใจเราจนกระเจิดกระเจิงกระจัดกระจาย
ปลิวฟุ้งซ่านเป็นละอองธุลีแห่งหมู่เมฆโหมพัดอยู่ในความคิด
ลอยฟ่องอยู่ในแววตาที่พร้อมจะเป็นสายฟ้า
หรือสายฝนเจิ่งนองลงสู่หัวใจ
จวบจนกว่าสติเราจะฉับไว
เห็นเหตุปัจจัยอย่างรู้เท่าทัน
ว่าแต่ละสิ่งที่มีใจไม่ได้มีด้วยตัวมันเอง
แต่อาศัยอีกสิ่งหนึ่งทำให้เกิดขึ้น
เพื่อจะงอกงามเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
ทนอยู่ไม่ได้แม้สักขณะ
เพียงแต่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เมื่อการกระทบกดปุ่มเข้าที่ใจ
มันจึงอยู่ที่วางเราวางใจไว้บนพื้นตรงไหน
วางไว้บนพื้นที่ว่าเราดีกว่าคนอื่น
คนอื่นล้วนเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง
หรือวางไว้บนพื้นเมตตาบนความปรารถนาดี
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะวางใจไว้ตรงว่าเราดีกว่า
การกระทบจึงทำให้หงุดหงิดรำคาญ
ไปจนถึงโทสะโกรธ กราดเกรี้ยว
แต่ถ้าวางใจไว้ตรงเมตตา
การกระทบจะผลิดอกไม้แห่งการให้อภัย
สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์
จากภาวะที่เขาร้อนรนด้วยคำพูดผิด การกระทำที่ผิด
การวางใจไว้ถูก ไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายผู้อื่น
แต่ยังเป็นการไม่ทำร้ายตน ไม่ทำร้ายจิตใจตนให้บอบช้ำ
ไม่ทำร้ายร่างกายตนให้เคร่งเครียดถมึงทึง
เรื่องราวที่กระทบนั้น จึงไม่สำคัญว่าเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่
แต่สำคัญว่าเราวางใจไว้ตรงไหน
เฉกเช่นเดียวกับเนื้อหาของงานที่เราทำ
ไม่ว่างานนั้นสำคัญเพราะงานใหญ่ หรืองานเล็ก
แต่จุดสำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิตใจ
จะวางใจอย่างมีอัตตา ยึดมั่น
หรือวางใจอย่างไม่มีอัตตา
มีสติและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ
หรือขาดสติพลุ่งพล่าน กังวลอยากให้งานนั้นสำเร็จ ลุล่วงผลยิ่งใหญ่
แต่ผู้ทำกับวางใจไว้ในนรก
โดยขาดการรู้เท่าทันของวงจรปฏิจจสมุปบาท
ไม่ว่าชีวิตจะมีอุปสรรค
หรือธรรมชาติประทานปัญหามาให้
เราก็คงยังแกะห่อของขวัญแห่งปัญหานั้นอย่างมีสติ
สงบที่จะเรียนรู้กับสิ่งนั้น ด้วยใจที่ปีติอย่างรู้เท่าทัน
ว่าการเรียนรู้นั้นจะทำให้เราได้งอกงาม
ยามเมื่อเจอคำพุดที่ไม่ถูกใจ ข่มเหง เหยียบย่ำ
เราจะก้าวผ่านมายาภาพแห่งอารมณ์ที่เกิดจากผัสสะนั้นไปได้หรือไม่
คนชั่วจะมีประโยชน์ต่อเราอย่างมหาศาล
โดยไม่ต้องมาจ้างใครไปเล่นละครด่าว่าเรา
เพื่อทดสอบถึงผัสสะ ว่าอายตนะทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน
นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่เราต้องรู้จัก ปฏิจจสมุปบาท
เพื่อที่จะไม่ถูกหลอกว่ามีตัวตน ทั้งที่ไม่มีตัวตน
และจะไม่ถูกหลอกว่าทุกข์นั้นเป็นของเรา
ทั้งที่โดยความจริงนั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ และคนอื่นก็ไม่ได้เป็นผู้ก่อ
ผิวน้ำที่กำลังระเหยเป็นไอละออง เพราะกระทบแสงตะวัน
แอ่งน้ำจากทุกเบ้าหิน ทุกหนองน้ำลำคลอง ทุกท่อระบายน้ำ
ทุกหงาดเหงื่อนั้นไม่ใช่ของใคร
เมื่อมันรวมตัวกันจับเป็นหมู่เมฆ ก่อรูปร่างที่แตกต่างซับซ้อน
ผกผันตามแรงลมย้อมสีสันตามกาลเวลา
และแสงตะวัน เราเผลอไผลจินตนาการละครเมฆ
จากการปั้นน้ำให้เป็นตัว ลืมที่จะเห็นและเข้าใจการปั้นจิต
ให้เป็นวงจรภายใน ปฏิจจสมุปบาท