๕ หนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่าน แนะนำโดย ท่าน ว.วชิรเมธี
ทีมงานทรูปลูกปัญญา | 2012-10-29 13:40:00
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองไทยของเราในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ มีการนำเอาทัศนคติ ความคิด ความเชื่อส่วนบุคคล มาปลอมปนลงไปในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็อ้างว่า นั่นเป็น คำสอนของพระพุทธองค์ จนเป็นเหตุให้มีผู้หลงเชื่อมากมาย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางทั้งแก่ตน แก่สังคม และแก่สถาบันศาสนา การปล่อยให้สภาพเช่นนี้ ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อวิถีชีวิตของบุคคล สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว ดังนั้น เราจึงควรร่วมมือกัน นำเสนอพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ให้คนไทยได้รู้จักกันอย่างทั่วถึง เพื่อร่วมกัน สร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดไปมากกว่านี้ และขณะเดียวกัน ก็เป็นการช่วยกันฟื้นฟูเนื้อหาสาระที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมาสู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนสืบต่อไป
การศึกษาให้รู้อย่างถูกต้องถ่องแท้ว่า พระพุทธศาสนาที่แท้ มีเนื้อหาสาระว่าอย่างไร คือ วิธีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยเหตุนั้น ในบทความนี้ จึงขอแนะนำหนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่านเป็นเบื้องต้นสัก ๕ เรื่อง ดังต่อไปนี้ (หนังสือทุกเล่ม สามารถหาซื้อตามร้านหนังสือชั้นนำ หรือตามห้องสมุดทั่วไป)
๑. พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ที่ประมวลหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้อย่างเป็นระบบ ครบถ้วน สมบูรณ์ที่สุด จนถึงขนาดที่กล่าวได้ว่า ตัวคัมภีร์พระไตรปิฎกเองมีสถานะเป็นดังหนึ่งองค์พระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ทั้งนี้ เพราะก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า “เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว พระธรรมและวินัยที่เราได้แสดงและบัญญัติเอาไว้ จักเป็นศาสดาของชาวพุทธ สืบต่อไป”
ในเมื่อพระธรรมวินัยถูกประมวลไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ดังนั้น คัมภีร์พระไตรปิฎก จึงเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่เราชาวพุทธสามารถศึกษา ค้นคว้าหาแก่นธรรมด้วยตัวเองได้ทุกเมื่อ สงสัยเรื่องใด ก็สามารถเปิดขึ้นมาศึกษาหาความกระจ่างแจ้งได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องผ่านการตีความหรืออธิบายของผู้อื่น การศึกษาพระพุทธศาสนาโดยตรงจากคัมภีร์พระไตรปิฎก จึงเป็นวิธีเข้าถึงพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด ทั้งยังสามารถป้องกันความเข้าใจผิด วิปลาต คลาดเคลื่อนจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเช่นกัน
วรรคทองของหนังสือ
พระไตรปิฎกมีหลักธรรมคำสอนมากมาย ที่แม้เวลาจะผ่านไปอย่างไร ก็ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ เช่น คำสอนเรื่อง “ท่าทีในการบริโภคข่าวสารข้อมูล” ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร (เล่มที่ ๒๐) ดังต่อไปนี้ จะเห็นว่า มีท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์และมีประโยชน์อย่างยิ่งในยุคข้อมูลสารข้อมูลเช่นทุกวันนี้
ท่าทีในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร
๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
๒. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการสืบๆกันมา
๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา/คัมภีร์
๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ
๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน
๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะสองคล้องกับทิฐิของตน
๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
ต่อเมื่อใดรู้ เข้าใจ ด้วยตนเองว่า ธรรม/ข้อมูล เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นสิ่งที่ดี มีโทษ หรือ มีคุณ เป็นต้น จึงควรปฏิเสธ หรือยอมรับ...”
๒. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นแหล่งประมวลพระธรรมวินัยหรือคำสั่งสอนที่สมบูรณ์ที่สุดของพระพุทธเจ้านั้น เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวพุทธว่า มีเนื้อหามากเป็นอเนกอนันต์ หากไม่มีความสนใจใฝ่รู้จริงๆ แล้ว ก็เป็นการยากที่คนธรรมดาจะศึกษาให้ทั่วถึงได้ ด้วยเหตุที่พระไตรปิฎกมีเนื้อหามากนี่เอง อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (เปรียญธรรม ๙ ประโยคที่มีชื่อเสียงมากที่สุดร่วมยุคกับท่านพุทธทาสภิกขุ) ซึ่งมีความปรารถนาที่จะให้ชาวพุทธได้เรียนรู้ธรรมะจากพระไตรปิฎกโดยตรง จึงได้ใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดจัดทำพระไตรปิฎก “ฉบับสำหรับประชาชน” โดยย่อพระไตรปิฎกจาก ๔๕ เล่ม ให้เหลือเพียง ๑ เล่ม และนับแต่นั้นเป็นต้นมา คนไทยจึงได้อ่านพระไตรปิฎกที่เนื้อหาน้อยลง แต่ทว่ากลับยังคงอุดมด้วยแก่นสารอย่างครบถ้วนเหมือนเดิม ทั้งภาษาก็อ่านง่าย ไพเราะ ใครก็ตามที่อยากศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกโดยตรง แต่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อเนื้อหาอันมากมายมหาศาล การเริ่มต้นอ่านพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน จึงนับว่า เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
วรรคทองของหนังสือ
อะไรคือแก่นพุทธศาสน์ ?
๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเสมือนกิ่งไม้ใบไม้
๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเสมือนเปลือกไม้
๔. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเสมือนกะพี้ไม้
๕. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ เปรียบเสมือนแก่นไม้
(หน้า ๕๐)
๓.คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา
ในวรรณกรรมเรื่อง “กามนิต-วาสิฏฐี” ตัวเอกของเรื่อง คือ กามนิต มีความปรารถนาจะเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อรับฟังคำสอนสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ครั้นได้พบพระพุทธองค์จริงๆ เขากลับไม่รู้จักว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร ในที่สุดก็จึงเดินจากไปอย่างผิดหวัง ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็คงไม่ต่างอะไรกับกามนิตหนุ่มที่บอกตัวเองว่า เป็นชาวพุทธ แต่ทว่าไม่รู้จัก “โฉมหน้าอันแท้จริง” ของพุทธศาสนา ผลก็คือ เขาได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ในหนังสือชื่อ “คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา”
อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปราชญ์ผู้เป็นเลิศทางด้านพระพุทธศาสนา ได้ชี้ให้เราเห็นว่า พระพุทธศาสนาที่แท้นั้น มีลักษณะเช่นไร มีจุดเด่น จุดเน้น จุดหมายอยู่ตรงไหน และจะนำเอาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เรารู้จักพระพุทธศาสนาในภาพรวมถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า เหมือนกับเรารู้จักลายมือของตัวเองอย่างละเอียดเลยทีเดียว
วรรคทองของหนังสือ
“แม้จะตัดความเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ออกหมด ก็ไม่ทำให้พระพุทธศาสนากระทบกระเทือนอะไรแม้แต่น้อย เพราะพระพุทธศาสนามิได้มีรากฐานอยู่บนเรื่องฤทธิ์เดชปาฎิหาริย์ หากอยู่ที่เหตุผลและคุณงามความดีที่พิจารณาเห็นได้จริง ๆ”
(หน้า ๓๔)
“ถ้าบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการรดน้ำ (ศักดิ์สิทธิ์) แล้ว, กบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์น้ำทั้งปวง ก็จักไปสวรรค์ได้เป็นแน่...” (พุทธพจน์)
(หน้า๒๐๒)
“เราเอาน้ำมันเทลงไปในน้ำแล้วจะอ้อนวอนให้จมลงอย่างไร น้ำมันก็จะคงลอยขึ้นเหนือน้ำเสมอไป เราทิ้งก้อนหินลงในน้ำ แม้จะอ้อนวอนให้ลอยอย่างไร มันก็ไม่ลอยขึ้น คงจมลงโดยส่วนเดียว ฉันใด การทำความดี ย่อมเป็นเหตุให้เฟื่องฟู การทำความชั่ว ย่อมเป็นเหตุให้ล่มจม เมื่อทำแล้ว จะใช้วิธีอ้อนวอนให้เกิดผลตรงกันข้าม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น...” (พุทธพจน์)
(หน้า ๓๔๘)
๔. หลักชาวพุทธ (ชาวพุทธที่ดีต้องมีมาตรฐาน)
ในทางสถิติ เราทราบกันดีว่า มีคนไทยกว่า ๙๕% เป็นชาวพุทธ แต่ในทางปฏิบัติ จะมีคนที่เป็นชาวพุทธจริงๆ กันสักกี่เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ สังคมไทยเต็มไปด้วยปัญหามากมาย แต่พอเกิดมีปัญหาอะไรที่ หนักหนาสาหัสเกิดขึ้นมาจนทำท่าว่าจะแก้ไขกันไม่ได้ คนไทยไม่น้อยก็มักเลือกที่จะกล่าวโทษพุทธศาสนา เช่น เรามักได้ยินคำอุทานด้วยความสิ้นหวังเชิงประชดประเทียดอยู่บ่อยๆ ว่า “นี่หรือเมืองพุทธ...” หรือบางทีก็ ตั้งข้อสังเกตกันแรงๆ ว่า “เป็นเมืองพุทธ ทำไมจึงทรุดลง” การที่ชาวพุทธจำนวนมาก กล่าวโทษพุทธศาสนาเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่า เขาเหล่านั้น ไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่ได้นำเอาพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า การเป็นชาวพุทธนั้น ต้องมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง
เพื่อแก้ปัญหาชาวพุทธด้อยคุณภาพดังกล่าวมานี้เอง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงเรียบเรียงหนังสือ “หลักชาวพุทธ” ขึ้นมาให้เป็นแนวทางสำหรับยึดเป็นหลักแม่บทในการปฏิบัติตนของชาวพุทธ ๑๒ ข้อ ซึ่งเมื่อใครก็ตาม ปฏิบัติตามหลักแม่บทของการเป็นชาวพุทธทั้ง ๑๒ ข้อได้เป็นอย่างดี คนๆ นั้น ก็จะได้ชื่อว่า เป็นชาวพุทธชั้นนำ และย่อมจะได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาอย่างคุ้มค่าที่สุด
วรรคทองของหนังสือ
หลักชาวพุทธ
I หลักการ
๑. ฝึกแล้วคือเลิศมนุษย์ : ข้าฯ มั่นใจว่า มนุษย์จะประเสริฐเลิศสุด แม้กระทั่งเป็นพุทธะได้ เพราะฝึกตนด้วยสิกขา คือการศึกษา
๒. ใฝ่พุทธคุณเป็นสรณะ : ข้าฯ จะฝึกตนให้มีปัญญา มีความบริสุทธิ์และมีเมตตา ตามอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๓. ถือธรรมะเป็นใหญ่ : ข้าฯ ถือธรรม คือความจริง ความถูกต้อง ดีงาม เป็นใหญ่ เป็นเกณฑ์ตัดสิน
๔. สร้างสังคมให้เยี่ยงสังฆะ : ข้าฯ จะสร้างสรรค์สังคมตั้งแต่ในบ้าน ให้มีสามัคคี เป็นที่มาเกื้อกูลร่วมกันสร้างสรรค์
๕. สำเร็จด้วยกระทำความดี : ข้าฯ จะสร้างความสำเร็จด้วยการกระทำที่ดีงามของตน โดยพากเพียรอย่างไม่ประมาท
P ปฎิบัติการ
ข้าฯ จะนำชีวิต และร่วมนำสังคมประเทศชาติ ไปสู่ความดีงาม และความสุขความเจริญ ด้วยการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
ก) มีศีลวัตรประจำตน
๑. บูชาบูชนีย์ : มีปกติกราบไหว้ แสดงความเคารพ ต่อพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์ และบุคคลที่ควรเคารพ
๒. มีศีลห่างอบาย : สมาทานเบญจศีล ให้เป็นนิจศีลคือหลักความประพฤติประจำตัว ไม่มืดมัวด้วยอบายมุข
๓. สาธยายพุทธมนต์ : สวดสาธยายพุทธวจนะหรือบทสวดมนต์ โดยเข้าใจความหมาย อย่างน้อยก่อนนอนทุกวัน
๔. ฝึกฝนจิตด้วยภาวนา : ทำให้จิตใจให้สงบ ผ่องใส เจริญสมาธิ อันค้ำจุนสติที่ตื่นตัว หนุนปัญญาที่รู้ทั่วชัดเท่านั้น และอธิฐานจิตเพื่อจุดหมายที่เป็นกุศล วันละ ๕-๑๐ นาที
ข) เจริญกุศลเนืองนิตย์
๕. ทำกิจวัตรวันพระ : บำเพ็ญกิจวัตรวันพระ ด้วยการตักบาตร หรือแผ่เมตตา ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรม โดยบุคคลที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน ร่วมกัน ประมาณ ๑๕ นาที
๖. พร้อมสละแบ่งปัน : เก็บออมเงิน และแบ่งมาบำเพ็ญทาน เพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อสนับสนุนกรรมดี อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง
๗. หมั่นทำคุณประโยชน์ : เพิ่มพูนบุญกรรม บำเพ็ญประโยชน์ อุทิศแด่พระรัตนตรัย มารดาบิดา ครูอาจารย์ และท่านผู้เป็นบุพการีของสังคมแต่อดีตสืบมา อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง
๘. ได้ปราโมทย์ด้วยไปวัด : ไปวัดชมอารามที่รื่นรมย์ และไปร่วมกิจกรรมทุกวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และวันที่สำคัญของครอบครัว
ค) ทำชีวิตให้งามปราณีต
๙. กินอยู่พอดี : ฝึกความรู้จักประมาณในการบริโภคด้วยปัญญาให้กินอยู่ดี
๑๐. มีชีวิตงดงาม : ปฏิบัติกิจส่วนตัว ดูแลของใช้ของตนเอง และทำงานชีวิต ด้วยตนเอง ทำได้ ทำเป็น อย่างงดงามน่าภูมิใจ
๑๑.ไม่ตามใจจนหลง : ชมรายการบันเทิงวันละไม่เกินกำหนดที่ตกลงกันในบ้าน ไม่มัวสำเริงสำราญปล่อยตัวให้เหลิงหลงไหลไปตามกระแส สิ่งล่อเร้าชวนละเลิง และมีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ ๑ วัน
๑๒.มีองค์พระครองใจ : มีสิ่งที่บูชาไว้สักการะประจำตัว เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงคุณของ
พระรัตนตรัย และตั้งมั่นอยู่ในหลักชาวพุทธ
(หน้า ๕๕-๕๖)
๕. เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม
ทุกวันนี้ มีผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้บ้าง เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณบ้างอยู่มากมายในสังคมไทย บรรดากูรูเหล่านี้ต่างก็พากันนำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ออกมาเผยแผ่แก่ประชาชนจนได้รับการเคารพ นับถือ ยกย่อง อย่างกว้างขวาง มีศิษยานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย แต่ก็นั่นแหละ ในบรรดาผู้นำทางจิตวิญญาเหล่านี้ บางคนก็เผยแผ่พุทธศาสนาถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัย แต่บางคน บางสำนัก ก็เชื่อผิด รู้ผิด สอนผิด และนำประชาชนไปในทางที่ผิดจนเกิดความเสื่อมเสียทั้งแก่ตน แก่สังคม และแก่สถาบันศาสนาโดยรวม
ปัญหาประการหนึ่งที่มีการเชื่อผิด รู้ผิด สอนผิดกันมากที่สุดในสังคมไทยก็คือ ความเชื่อเรื่องกรรม หรือกฎแห่งกรรม ที่มีการเข้าใจวิปลาตคลาดเคลื่อนกันไปไกลถึงขนาดที่เรียกได้ว่า “ออกทะเล” ก็คงได้ แต่ถึงจะมีการเชื่อผิด สอนผิดอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น ก็มีผู้ที่รู้เท่าทันน้อยมาก เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ถูกต้อง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงเขียนหนังสือชื่อ “เชื่อกรรม รู้กรรม แก้รรม” ออกมาเผยแผ่แก่ประชาชนทั่วไป
ใครก็ตามที่อยากรู้ว่า หลักกรรมตามแนวพุทธเป็นอย่างไร หรืออยากรู้ว่า การแก้กรรมตามแนวพุทธต้องทำอย่างไร หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ความสงสัยดังกล่าวจะได้รับการอธิบายอย่างแจ่มกระจ่างและจะไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธิกรรมพาณิชย์อีกต่อไป
วรรคทองของหนังสือ
“สามลัทธิที่ขัดต่อหลักกรรม
“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ลัทธิเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซร้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบ ๆ กันมา ดำรงอยู่ในอกิริยา (การไม่กระทำ) คือ
๑. สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไนปางก่อน (ปุพเพกตวาท) = ลัทธิกรรมเก่า
๒. สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า (อิศวรนิรมิตวาท) = ลัทธิเทพเจ้าบันดาล
๓. สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนหาเหตุปัจจัยมิได้ (อเหตุวาท)=ลัทธิบังเอิญ
(หน้า ๑๔-๑๖)
การแก้กรรมตามแนวพุทธแท้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“เราจะแสดงกรรมเก่า กรรมใหม่ ความดับกรรม และทางดับกรรม...
“กรรมเก่าคืออะไร? จักขุ(ตา) โสตะ(หู) ฆานะ(จมูก) ชิวหา(ลิ้น) กาย มโน(ใจ) นี้ชื่อว่ากรรมเก่า;
อะไรชื่อว่ากรรมใหม่ การกระทำที่เราทำอยู่ในบัดนี้ นี่แหละชื่อว่ากรรมใหม่;
อะไรคือความดับกรรม? บุคคลสัมผัสวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมนั้นชื่อว่าความดับกรรม; (=การหลุดพ้นจากกิเลส คือ ภาวะดับกรรม)
อะไรเป็นทางดับกรรม? มรรคมีองค์ ๘ ประการอันประเสริฐคือ สัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน นี้เรียกว่า ทางดับกรรม”
(หน้า ๑๙)
ลองพิจารณาพระพุทธวัจนะดูเถิด แล้วจะรู้ด้วยตนเองว่า หลักกรรมและวิธีแก้กรรมที่สอนกันอยู่ในสังคมไทยของเราในเวลานี้ ผิดเพี้ยน หรือวิปลาตคลาดเคลื่อนออกไปจากหลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงไร