ภาษาจีน ม. ปลาย สำนวน วลี คำคล้ายและสุภาษิตในชีวิตประจำวันที่ปรากฏในข้อสอบบ่อยครั้ง
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
06 ส.ค. 64
 | 128.4K views



สำนวน  วลี   คำคล้ายและสุภาษิตในชีวิตประจำวันที่ปรากฏในข้อสอบบ่อยครั้ง

考卷中常见的常用习语、同义词、成语等考题

 

            หากจะถามว่าในภาษาจีนหรือภาษาอะไรก็ตามหนึ่งภาษาประกอบด้วยประโยคสำนวนต่างๆทั้งหมดกี่คำ   เพื่อวางแผนต่อไปว่าภายในเวลา 1 หรือ 2 ปี ในการเตรียมสอบ เราจะได้แบ่งวันได้ถูก  ว่าเราควรจะท่องคำศัพท์กี่คำต่อหนึ่งวัน  เพื่อว่าเมื่อถึงวันสอบเราก็ได้ท่องสำนวนทั้งหมดนั้นจนขึ้นใจแล้ว …

            ผมไม่แนะนำให้ทำแบบนั้นครับ

            เพราะผมกำลังจะบอกนักเรียนว่า    เราไม่มีวันรู้หรอกว่าจริงๆแล้วในหนึ่งภาษามีประโยคสำนวนรวมเป็นจำนวนคำได้ทั้งหมดกี่คำ   และผมบอกได้เลยว่าในภาษาจีนซึ่งตัวอักษรที่อยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวันจำนวนสี่พันกว่าตัวนั้น  สามารถนำมาผสมกันให้เกิดคำประสมอีกเป็นหมื่นเป็นแสน  และสรรค์สร้างเป็นสำนวนคารมได้อีกเป็นร้อยพันรูปแบบอีกเช่นกัน  คุณจะท่องมันจริงหรือ?   ขนาดผมซึ่งโตและเรียนในประเทศจีน  สอนภาษาจีน และทำงานด้านการแปลมาเป็นหมื่นหน้าแล้วยังท่องสำนวนเหล่านั้นไม่หมดเลย   และความจริงข้อหนึ่งคือผมไม่เคยท่อง  และนักเรียนที่เก่งภาษาจีนแทบทุกคน   ไม่ได้เก่งเพราะสามารถท่องสำนวนมากมายขนาดนั้นได้

            ตอนที่ผมเรียนภาษาไทย  ผมเคยพยายามท่องสำนวนไทยโดยซื้อหนังสือประเภทรวมสำนวนเป็นพันๆสำนวนและพยายามท่องอยู่หลายวัน   ในทีแรก   ผมยอมรับว่าท่องได้เยอะมาก   อย่างน้อยก็100คำแรกที่ผมสามารถท่องได้ขึ้นใจ  แต่แล้วปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน   เพราะประการที่หนึ่ง  ผมเริ่มสับสนระหว่างสำนวนหลายๆสำนวนที่คล้ายกัน      ประการที่สอง   ผมไม่รู้ว่าสำนวนเหล่านี้ใช้ยังไง  เช่น ผมท่องสำนวนคำว่า “ ออกทะเล”  แต่ผมไม่สามารถแต่งประโยคเป็น “สมศรีคุยกับเพื่อนที่ไรออกทะเลทุกที   จนเพื่อนๆต้องคอยพาเธอกลับเข้าฝั่งตลอด”  เป็นเหตุให้เวลาทำข้อสอบภาษาไทยผมไม่สามารถเติมสำนวนที่ถูกต้องลงในช่องว่างระหว่างประโยคที่โจทย์ให้มา 

            ผมโชคดีที่รู้ตัวก่อนและมั่นใจแล้วว่าวิธีการท่องสำนวนแบบสักแต่ว่า “ท่องให้ขึ้นใจ” นั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง    ผมจึงเปลี่ยนวิธีการเรียน   หันมาเรียนรู้สำนวนโดยเริ่มจากสำนวนที่ใกล้ตัวและมีโอกาสได้ใช้ก่อน  ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยการสังเกต   เช่น  ในการพูดคุยกันในชีวิตประจำวัน  เราจะคุ้นหูกับสำนวนบางคำเท่านั้น    หรือในข้อสอบ  มักจะออกสำนวนบางกลุ่มเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสำนวนทุกคำในโลกจะปรากฏในบทสนทนาประจำวันได้  และไม่ใช่ว่าข้อสอบจะถามสำนวนทุกคำในโลกด้วย   มันมีขอบเขตของมันเสมอ   สำนวนในชีวิตประจำวันขึ้นอยู่กับเนื้อหาของการสนทนา  เช่น  การเดินทาง  สุขภาพ  การล้อเลียน  การตักเตือน  การเมือง   การค้า ฯลฯ  ในข้อสอบก็เช่นกัน   ผมเชื่อว่าน้อยคนที่เคยทดลองรวบรวมสถิติและขอบเขตเนื้อหาของข้อสอบ   แต่ถ้าเคย  ย่อมพบว่าข้อสอบวิชานั้นมีเนื้อหาที่หลายส่วนที่แทบจะออกซ้ำทุกปี  แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆก็เถอะ    ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก  แต่ไม่มากเกินไป  ก่อนอ่านผมขีดเส้นเพื่อกำหนดขอบเขตของมันเสมอ  เพื่อไม่ให้ตัวเองอ่านจน“ออกทะเล”ไปเลย   

            ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  ผมกำลังพยายามแนะนำให้น้องๆนักเรียน  ทำความเข้าใจขอบเขตของข้อสอบก่อนจะลงมือปฏิบัติ  เนื้อหาในบทเรียนนี้จะประกอบด้วยประโยค  วลี   สำนวนที่มีความเป็นไปได้ในการออกสอบซ้ำมากที่สุดก่อน  จากนั้นค่อยนำไปสู่เนื้อหากลุ่มอื่นๆที่ยังอยู่ในขอบเขตของการออกข้อสอบที่ผ่านมา   และผมบอกได้เลยครับว่า  ตลอดหลายปีที่มีการออกสอบมาข้อสอบวิชาภาษาจีนมีขอบเขตเนื้อหาที่ค่อนข้างชัดเจน    สำนวน  วลี   คำคล้ายและสุภาษิตในชีวิตประจำวันที่ปรากฏในข้อสอบบ่อยครั้งพอจะแบ่งเป็นหัวข้อได้ดังนี้

 

1.โครงสร้างสำนวนและวลีที่ปรากฏในข้อสอบ

2. สำนวนที่มีความถี่การใช้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน

3. โครงสร้างวลีที่น่าสนใจ

4. คำคล้าย

5. การใช้สำนวนสุภาษิต

 

 

1.โครงสร้างสำนวนและวลีที่ปรากฏในข้อสอบบ่อยครั้ง

            สำหรับหัวข้อนี้   ตัวอย่างสำนวนและวลีต่างๆในตัวอย่างล้วนมาจากข้อสอบเอ็นทรานซ์หลายปีที่ผ่านมา  และเป็นเนื้อหาที่ไม่เพียงแต่ข้อสอบเอ็นทรานซ์เคยออกซ้ำ  ข้อสอบHSKก็ออกอยู่เสมอๆเช่นกัน

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2545

 

12.他现在对电脑简直着迷了,一天到晚连饭也_______吃。

 

            1.恨不得               2. 怪不得

            3.舍不得               4. 顾不得

 

            ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อของโจทย์ข้อนี้เป็นวลีขยายกริยาที่ออกสอบบ่อยครั้ง   และมีความหมายดังต่อไปนี้

            1. 恨不得 (ต.恨不得) hèn bù de แทบอยากจะ...        

            2. 怪不得 (ต.怪不得) guài bù de  มิน่าล่ะ... 

            3. 舍不得 (ต.舍不得) shě bù de  รู้สึกเสียดายที่จะ...          

            4. 顾不得 (ต.顧不得) gù bù de  แทบไม่สนใจ

 

            เฉลย  ตอบ ข้อ 4

            他现在对电脑简直着迷了,一天到晚连饭也顾不得吃。

            (ต.他現在對電腦簡直著迷 了,一天到晚連飯也顧不得吃。)

            tā xiàn zài duì diàn nǎo jiǎn zhí zhù mí le , yī tiān dào wǎn lián fàn yě gù bù de chī。

            ขณะนี้เขาติดคอมพิวเตอร์จนถึงขั้นงอมแงม   วันๆแม้แต่ข้าวก็แทบไม่สนใจจะกิน

 

ข้อ 44 50

อ่านบทสนทนาแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

阅读下列对话,然后选出最正确的答案。

 

 

44-46    甲:小刘真不中用,喝了三杯酒,说话都语无伦次了。

            乙:小王能喝,喝五杯了,脸上才稍微有点红。

            甲:你看人家小陈,喝了六杯了,跟没事似的。

 

            44.“不中用”的意思是 :

 

            1.没有用               2. 不好用

            3.用不了               4. 用不上

     

            ในโจทย์ข้อนี้  สำนวนคำว่า “不中用”แปลว่า  ไม่เอาไหน  ใช้ไม่ได้   อ่อนหัด  ส่วนตัวเลือกทั้ง 4 ข้อได้แก่

            1.没有用 (ต.沒有用) méi yǒu yòng ไม่มีประโยชน์ ไม่เอาไหน กระจอก  

*ยังนิยมพูดสั้นๆว่า  真没用กระจอกจริงๆ   没用的ไอ้กระจอก           

            2. 不好用 (ต.不好用) bù hǎo yòng ใช้ไม่ดี ใช้ไม่ถนัดมือ ใช้ยาก

            3.用不了 (ต. 用不了) yòng bù le ไม่อาจใช้ได้ ใช้ไม่ไหว ใช้ไม่หมด         

            4. 用不上 (ต.用不上) yòng bù shàngไม่ทันได้ใช้ ไม่จำเป็นต้องใช้

       

            เฉลย  ตอบ ข้อ 1  เนื้อหาของบทความแปลเป็นไทยดังนี้

            ก: เสี่ยวหลิวไม่เอาไหนจริงๆ  ดืมไปสามแก้ว  ก็พูดจาไม่รู้เรื่องเสียแล้ว

            ข: เสี่ยวหวังคอแข็งใช้ได้   ดื่มไปห้าแก้ว  เพิ่งจะออกอาการหน้าแดง

            ก:คุณดูเสี่ยวเฉินเค้าซิ    ดื่มไปหกแก้วแล้ว  เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2546

 

11.虽然他是生了气,但________不参加会议。

 

            1.不止                       2.不免

            3.不由得               4.不至于

 

            ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อในโจทย์ข้อนี้มีคำแปลความหมายดังต่อไปนี้

            1.不止 (ต.不止) bù zhǐ ไม่ใช่แค่...               

            2.不免 (ต.不免) bù miǎn เลี่ยงไม่ได้ที่จะ....   ความหมายใกล้เคียงกับ 难免 ยากที่จะเลี่ยง...

            3.不由得 (ต.不由得) bù yóu de  ...อย่างลืมตัว              

            4.不至于 (ต.不至于)    bù zhì yú ไม่ถึงกับ... / ไม่ถึงขนาด... 

 

เฉลย  ตอบ  ข้อ4

            虽然他是生了气,但不至于不参加会议。

            (ต.雖然他是生了气,但不至于不參加會議。 )

            Suī rán tā shì shēng le qì, dàn bù zhì yú bù cān jiā huì yì。

            แม้ว่าเขาโกรธแล้วจริงๆ  แต่ไม่ถึงขนาดไม่มาเข้าร่วมประชุมหรอก  

            *ประโยคนี้  ใช้是 เติมหน้าภาคแสดง(生了气 โกรธซะแล้ว) เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับประโยค 

 

12.那部电影很有意思,_________大家爱看。

 

            1.顾不得               2.恨不得

            3.怪不得               4.巴不得

 

            ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อในโจทย์ข้อนี้มีคำแปลความหมายดังต่อไปนี้

            1.顾不得 (ต.顧不得) gù bù de   แทบไม่สนใจ             

            2.恨不得 (ต.恨不得) hèn bù de แทบอยากจะ...  

            3.怪不得 (ต.怪不得) guài bù de มิน่าล่ะ...                

            4.巴不得 (ต.巴不得) bā bù de แทบอยากจะ...    *แทบอยากจะ...

 

            เฉลย  ตอบ ข้อ3 

            那部电影很有意思,怪不得大家爱看。

            (ต.那部電影很有意思,怪不得大家愛看。)

            Nǎ bù diàn yǐng hěn yǒu yì sī, guài bù de dà jiā ài kàn。

            ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจมาก   มิน่าล่ะทุกคนถึงชอบดู

 

62 – 74     

อ่านข้อความแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

阅读下文 ,然后选出最正确的答案。

 

62-64    甲 :现在人们越来越重视天气预报了。

            乙 :可不是吗 !昨天我儿子没带雨伞,放学回家遇上了大雨,淋得落汤鸡似的。

            甲 :你没提醒他吧 ?

            乙 :提醒了,他哪儿听啊 !

 

62.  “可不是吗” 的意思是 :

     

            1.是啊                 2.不是啊

            3.可以吗               4.不可以吗

 

      เฉลย  ตอบ ข้อ1  เพราะ  可不是吗แปลว่า ก็นั่นนะซิ  ตรงกับ是啊ซึ่งแปลว่า ใช่แล้ว  ใช่เลย  ถูกต้องเลย

 

63    “落汤鸡” 的意思是 :

     

            1.鸡煮成汤             2.鸡落在地下

            3.鸡掉在河里           4.鸡掉在热水里

 

      เฉลย  ตอบ ข้อ3  เพราะสำนวน“落汤鸡”หรือ ไก่ตกน้ำแกงนั้น หมายถึงอาการเปียกโชกเหมือนไก่ที่ตกน้ำ  เหมือนที่สำนวนไทยว่าลูกหมาตกน้ำนั่นเอง   ส่วนข้อ1 แปลว่า ไก่ที่ต้มเป็นน้ำแกง    ข้อ2 แปลว่า ไก่หล่นลงพื้น   ข้อ4  แปลว่า  ไก่ที่ตกลงไปในน้ำร้อนซึ่งสำนวน“落汤鸡”ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นการตกลงไปในน้ำร้อน

 

64.  “哪儿听话啊” 的意思是 :

 

      1.不听                 2.没听见

      3.没听清               4.听见了

 

      เฉลย  ตอบ ข้อ1   เพราะสำนวน 哪儿听话啊 แปลว่า  เชื่อฟังที่ไหนกัน  (听话แปลว่าเชื่อฟัง / ฟังความ)   ตรงกับข้อ 1不听ไม่ฟัง/ไม่เชื่อฟัง    ส่วนข้อ2  แปลว่า  ไม่ทันได้ยิน   ข้อ3แปลว่าไม่ได้ฟังชัดเจน   ข้อ4 แปลว่าได้ยินแล้ว

 

      สรุปเนื้อหาของบทความสั้นทั้งหมดโดยมีคำแปลดังต่อไปนี้

      ก: คนสมัยนี้นับวันยิ่งเห็นความสำคัญของการพยากรณ์อากาศ

      ข:ใช่แล้ว   เมื่อวานเจ้าลูกชายของผมลืมพกร่มออกจากบ้าน  ระหว่างทางเลิกเรียนกลับบ้านเจอฝนตก   เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยนะ

      ก:แล้วคุณไม่ได้เตือนเขาเหรอ?

      ข:เตือนซิ   แต่เขาเชื่อฟังที่ไหนเล่า

 

จากข้อสอบฉบับ ตุลาคม  พ.ศ.2547

43-48

ข้อใดเรียงลำดับคำได้เหมาะสมที่สุด

哪一句次序最正确

 

      43.  1.那您请就多费心了。

      2.那就请您多费心了。

      3.请您那就多费心了。

      4.您那请就多费心了。

 

      โจทย์ข้อนี้ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับสำนวนโดยตรงเพราะเป็นการเรียงประโยค   แต่สำนวนที่ปรากฏในโจทย์ก็น่าสนใจ  เป็นสำนวนที่ใช้บ่อย  นั่นคือสำนวน  费心 แปลว่า  เปลืองสมอง  เปลืองความคิด   (หมายถึงมีภาระเพิ่มขึ้นหรือมีเรี่องให้คิดมากขึ้น)  สำนวนมารยาทว่า请您多费心了 แปลว่า  ต้องขอรบกวนคุณแล้วล่ะ  นอกจากนี้  ข้อนี้ยังขึ้นต้นด้วยรูปประโยคที่ใช้บ่อยๆอีกด้วย  นั้นคือ  那就......  (ถ้าเช่นนั้นก็......)  

 

      เฉลย  ตอบ ข้อ2  

      那就请您多费心了。

      (ต.那就請您多費心了。)

      Nǎ jiù qǐng nín duō fèi xīn le。

      ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนคุณแล้วล่ะนะ 

 

      เพิ่มเติม   คำว่า费 หากเป็นคำนามจะแปลว่า  ค่าใช้จ่าย  เช่น 学费ค่าเล่าเรียน  交通费 ค่าเดินทาง    แต่หากใช้เป็นกริยา จะมีความหมายว่า  ใช้จ่าย / เสีย / เปลือง   เช่น   费心เปลืองสมอง   费钱เปลืองเงิน    费时间เปลืองเวลา    浪费สิ้นเปลือง 

 

 

45.   1.请顺便您帮我买点东西。

       2.请顺便帮您我买点东西。

       3.请您顺便帮我买点东西。

       4.请您帮我顺便买点东西。

 

      สำนวนที่ใช้ในประโยคนี้คือ  วลี  顺便 + กริยา + คำนาม + ภาคแสดงของประโยค  แปลว่า  ถือโอกาส......ซะเลย

      เฉลย  ตอบ ข้อ3   

请您顺便帮我买点东西。

(ต. 請您順便幫我買點東西。 ) 

qǐng nín shùn biàn bāng wǒ mǎi diǎn dōng xī

ขอให้คุณถือโอกาสช่วยผมซื้อของหน่อยก็แล้วกัน

 

61-65

      有人认为求学与做人是两件事,所以尽管读了不少书,讲起话来头头是道,可是在做人处世上往往都是可是心非,为人虚伪不实,比没有知识的人还不如,这种人就是不懂求学与做人的道理。

 

64. “头头是道”的意思是什么?

     

1.说得很流利                  2.说得很好听

3.说得很明显                  4.说得很清楚

 

เฉลย  ตอบ ข้อ2   .“头头是道”แปลว่า แต่ละหัวข้อล้วนมีเหตุผลฟังดูดี  หมายถึงพูดจาน่าฟังและมีเหตุผลเสียเต็มประดา  ตรงกับข้อ2

说得很好听 พูดจาน่าฟังมาก

 

65. “口是心非” 的意思是什么?

            1.不讲信用              2.不讲道理

            3.不讲文明              4.不讲情面

      เฉลย  ตอบ ข้อ1  เพราะสำนวนสุภาษิตคำว่า“口是心非”แปลว่า  ปากว่าใช่แต่ใจว่าเปล่า  ตรงกับสำนวนไทยว่า ปากอย่างใจอย่าง  หมายถึงคนที่ไม่รักษาคำพูด   จึงตรงกับข้อ 1 不讲信用 ไม่คำนึงถึงความน่าเชื่อถือ/ไร้สัจจะ    * 信用 แปลว่า ความน่าเชื่อถือ  **讲ปกติแปลว่าพูดหรือบรรยาย  แต่บางกรณีหมายถึง การยึดถือ / คำนึง / ให้ความสำคัญกับบางสิ่ง  เช่น  讲道理 คำนึงถึงเหตุผล

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2548

9.睡觉的时间太长 ,对身体______好。

 

            1. 不见得                      2. 恨不得

            3. 不由得                      4. 怪不得

 

      ตัวเลือกทั้ง 4 ข้อในโจทย์ข้อนี้มีคำแปลความหมายดังต่อไปนี้

      1.不见得 (ต. 不見得) bù jiàn de ไม่เห็นจะ... / ใช่ว่าจะ...              

      2.恨不得 (ต.恨不得) hèn bù de    แทบอยากจะ...  

      3.不由得 (ต.不由得)   bù yóu de ...อย่างลืมตัว         

      4.怪不得 (ต.怪不得) guài bù de มิน่าล่ะ... 

 

       เฉลย  ตอบ  ข้อ1 

      睡觉的时间太长 ,对身体不见得好。

      (ต.睡覺的時間太長 ,對身体不見得好。)

      Shuì jiào de shí jiān tài cháng, duì shēn tǐ bù jiàn de hǎo。

      เวลาในการนอนยาวนานเกินไป    ใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพ

      *身体นอกจากแปลว่าร่างกายแล้ว  ยังหมายถึงสุขภาพร่างกายอีกด้วย

 

10.能否成功取决于你______努力。

     

      1. 非常                                                2. 不够

      3. 是否                                                4. 可否

      เฉลย  ตอบ ข้อ3    

      能否成功取决于你是否努力。

      (ต.能否成功取決于 你是否努力。 )

      Néng fǒu chéng gōng qǔ jué yú nǐ shì fǒu nǔ lì。  

      สามารถทำสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณได้พยายามหรือเปล่า

      เพิ่มเติม  คำว่า 否  เป็นรูปภาษาเขียนของคำว่า 不是 不能 不可以 不...   เป็นคำที่ใช้ในความหมายปฏิเสธเสมอ ส่วนในโครงสร้างของวลีดังต่อไปนี้จะเป็นวลีคำถามที่มีคำว่า否ผสมอยู่   ซึ่งสำนวนเหล่านี้จะเป็นสำนวนภาษาเขียน  มีน้ำหนักภาษาที่หนักแน่นและเน้นความจริงจัง

      能否......   แปลว่า       สามารถ...หรือไม่ เช่น  你能否帮我?คุณสามารถช่วยผมไหม?

      是否......  แปลว่า      ......ใช่หรือไม่   เช่น  你是否爱上了他? คุณหลงรักเขาเข้าแล้วใช่ไหม?

      可否......    แปลว่า      ......ได้หรือไม่  เช่น    您可否原谅我?คุณให้อภัยผมได้หรือไม่

 

จงเลือกข้อที่มีความหมายสอดคล้องกับคำที่ขีดเส้นใต้

21.   他们都 友谊 , 感情。

 

      1. 重量                              2. 重复

      3. 重要                              4. 重视

                 

      ในโจทย์ข้อนี้สิ่งที่น่าสังเกตคือ 重 ในประโยคโจทย์ไม่ได้เป็นคำคุณศัพท์ที่แปลว่า หนัก    แต่ถูกใช้เป็นคำกริยา  ซึ่งมีความหมายว่า เน้นหนักไปทาง.../ให้ความสำคัญใน...  ฉะนั้น  คำแปลของประโยคจึงมีดังนี้

 

      他们都 友谊, 感情。

      (ต.他們都 重 友誼  ,重 感情 。 )

      Tā men dōu zhòng yǒu yí   ,  zhòng gǎn qíng。   

      พวกเขาล้วนแต่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ และ ให้ความสำคัญกับความผูกพัน

 

2. สำนวนที่มีความถี่ในการใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน

      การเรียนสำนวนไม่ได้มีจุดประสงค์แค่ “ท่องให้ขึ้นใจ”  หรือแปลความหมายสำนวนนั้นๆ   เพราะจุดประสงที่แท้จริงคือการใช้สำนวนนั้นแต่งประโยคและสนทนาอย่างถูกต้อง  เพราะประดับวาทศิลป์ของผู้ใช้ภาษา  ฉะนั้นการเรียนสำนวนที่ถูกต้องคือการอ่านและแต่งประโยคที่ประกอบด้วยสำนวนต่างๆเพื่อให้เกิดความ “คุ้นหู” และ “คุ้นตา”    สำนวนแต่ละสำนวนนักเรียนควรนำไปแต่งประโยคซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยคำนาม  คำกริยา  คำคุณศัพท์  และองค์ประกอบอื่นที่แตกต่างกัน  เพื่อให้เกิดความชำนาญในการใช้  การฝึกจะช่วยให้สำนวนเหล่านี้เริ่ม “ติดตา” และ “ติดหู”   เมื่อรักษาความชำนาญถึงจุดๆหนึ่ง   น้องๆจะไม่ลืมมันอีกเลย  โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปท่องจำ   ความจริงก็คือ  การเรียนสำนวนโดยการฝึกแต่งหรือเขียนประโยคให้“คุ้นหู” “คุ้นตา” จน   “ติดหู” และ “ติดตา”  ดีกว่าการฝืนท่องเป็นคำๆไปมากมายหลายเท่า

 

1. 他不是故意看不起  你,你就别生气了。

      (ต.  他不是故意  看不起  你,你就別生气了。)

      Tā bú shì gù yì  kàn bù qǐ  nǐ ,  nǐ jiù bié shēng qì le。  

      เขาไม่ได้เจตนา ดูแคลน คุณ   คุณก็อย่าไปโกรธเขาเลยนะ

 

2.   我愿意帮你,因为你看得起 我。

      (ต.  我愿意 幫你,因為你看得起 我。)

      wǒ yuàn yì bāng nǐ ,  yīn wéi nǐ kàn de qǐ wǒ。 

      ผมยินดีช่วยเหลือคุณ   เพราะว่าคุณ ให้เกียรติ ผม

 

 

3. 你用不着 买那么多东西。

      (ต.  你用不著 買那么多東西。)

      yòng bù zhù mǎi nǎ mo duō dōng xī。  

      คุณไม่เห็นจำเป็น ต้องซื้อของเยอะขนาดนี้เลยนี่

 

4.     你去看看,说不定 她已经来了。

(ต.你去看看,說不定 她已經來了。 )

nǐ qù kàn kàn  , shuō bù dìng tā yǐ jīng lái le。

คุณไม่ดูหน่อยซิ    เผลอๆเขามาแล้วล่ะ

 

5.      算了,东西已经丢了,别伤心吧。

(ต.  算了,東西已經丟了,別傷心吧。)

Suàn le ,  dōng xī yǐ jīng diū le ,  bié shāng xīn。

ช่างเถอะ   ของก็ทำหายไปแล้ว   อย่าเสียใจไปเลย

 

6.      得了!你才得了65分还吹牛。

(ต.  得了!你才得了65分還吹牛。)

        De le !  nǐ cái de le  fēn huán chuī niú 。 

น้อยๆหน่อย   คุณได้แค่ 65คะแนนเองยังจะขี้โม้อีก

 

7.   看样子,我们的节目得取消了。

      (ต.  看樣子,我們的節目得取消了。)

      Kàn yàng zi, wǒ men de jié mù de qǔ xiāo le。

      เห็นที   รายการของเราต้องยกเลิกซะแล้ว

 

  1. 在泰国,水果有的是

(ต. 在泰國,水果有的是。 )

           Zài tài guó   shuǐ guǒ yǒu de shì。  

ที่ประเทศ  ผลไม้มีถมไป / มีเต็มไปหมด

 

  1. 小明是我班里最了不起 的人。

(ต.  小明是我班里最了不起 的人。)

          Xiǎo míng shì wǒ bān lǐ zuì liǎo bù qǐ de rén。 

เสี่ยวหมิงเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชั้นเรียนของเรา

 

  1. 好容易 买到这本书。

(ต.  我好容易 買到這本書。)

        hǎo róng yì mǎi dào zhè běn shū。  

กว่าฉันจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาได้ไม่ใช่ง่ายเลย

 

 

  1. 好不容易买到这本书。

(ต.我好不容易買到這本書。 )

        hǎo bù róng yì mǎi dào zhè běn shū。  

กว่าฉันจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาได้ไม่ใช่ง่ายเลย

        สังเกต  好容易กับ好不容易 ความหมายเหมือนกัน  แปลว่า  ไม่ง่าย

 

  1. 闹着玩了,工作时候正经一点儿

(ต.  別鬧著玩了,工作時候正經一點儿。)

        Bié nào zhù wán le, gōng zuò shí hòu zhèng jīng yī diǎn ér

เลิกทำเป็นเล่เสียที    ขณะทำงานทำตัวจริงจังหน่อยซิ

 

  1. 因为我不太懂泰国文化,所以常常 闹笑话/出洋相/出丑

        (ต.因為我不太懂泰國文化,所以常常 鬧笑話/出洋相/出丑。 )

        Yīn wéi wǒ bù tài dǒng tài guó wén huà, suǒ yǐ cháng cháng nào xiào huà chū yáng xiàng / chū chǒu。  

เป็นเพราะว่าผมไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมไทย   เพราะฉะนั้นจึง หน้าแตก/ปล่อยไก่ อยู่เสมอๆ

        เพิ่มเติม  คำว่า出洋相 ถ้าแปลตรงตัว  จะแปลว่า ทำท่าทำทางเหมือนพวกฝรั่ง  เหตุเพราะคนจีนสมัยก่อนมักเห็นฝรั่งที่ปล่อยไก่เพราะความไม่เข้าใจวัฒนธรรมจีน  เช่น  ใช้ตะเกียบไม่เป็น  เดินชนคานประตูเพราะฝรั่งตัวสูงเกินไป เป็นต้น  อาการขำขันเหล่านี้จึงเป็นที่มาของคำว่า ปล่อยไก่ในภาษาจีนนั่นเอง

 

  1. 为了明天的考试,我必须开夜车

        (ต.  為了明天的考試,我必須開夜車。)

        Wéi le míng tiān de kǎo shì,   wǒ bì xū kāi yè chē

เพื่อการสอบในวันพรุ่งนี้   ผมจำเป็นต้องอดหลับอดนอน

        เพิ่มเติม  ในภาษาจีนจะเรียกอาการอดหลับอดนอนว่า  อาการแบบขับรถเที่ยวกลางคืน  หมายถึงแม้ว่าจะง่วงแค่ไหนก็ต้องฝืนทนไว้  ปล่อยให้หนังตาหย่อนไม่ได้เด็ดขาด

 

  1. 哥哥醉酒后,总是给我出难题

        (ต.哥哥醉酒 后,總是給我出難題。)  

         Gē gē zuì jiǔ hòu,   zǒng shì gěi wǒ chū nán tí

        พอพี่ชายเมาทีไร   มักจะสรางความลำบากใจให้ผมอยู่เรื่อย

 

  1. 他不会帮你的,你就别去碰钉子了。

        (ต.他不會幫你的,你就別去碰釘子了。) 

        Tā bù huì bāng nǐ de,   nǐ jiù bié qù pèng dīng zi le。

        เขาไม่ช่วยคุณหรอก   คุณอย่าไป แกว่งเท้าหาเสี้ยน ดีกว่า

        เพิ่มเติม  碰钉子 แปลตรงตัวว่า วิ่งชนตะปู  หมายถึงการฝืนกระทำในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ 

 

  1. 你的问题真让我伤脑筋

(ต.  你的問題真讓我傷腦筋。)

Nǐ de wèn tí zhēn ràng wǒ shāng nǎo jīn。  

คำถามของคุณเล่นเอาผมปวดกบาล จริงๆ

 

  1. 有些工作免不了走后门

        (ต.  有些工作免不了走后門。) 

        Yǒu xiē gōng zuò miǎn bù le zǒu hòu mén。   

งานบางอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เส้นสาย

        เพิ่มเติม   ในภาษาจีน  คำว่าใช้เส้นสายจะใช้คำว่า เดินเข้าทางประตูด้านหลัง(走后门)/แอบตกลงกันหลังบ้านนั่นเอง

 

  1. 如果不真正了解情况,工作一定走弯路

        (ต. 如果不真正了解情況 ,工作一定走彎路。  )

        Rú guǒ bù zhēn zhèng liao, jiě qíng kuàng gōng zuò yī dìng zǒu wān lù。  

หากไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง   การทำงานย่อมต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุอย่างแน่นอน

        เพิ่มเติม  走弯路  แปลตรงตัวว่า  เดินทางโค้งหรือทางคดเคี้ยว  หมายถึงการทำอะไรด้วยวิธีที่เสียเวลากว่า  และเสียแรงมากกว่าทั้งที่ไม่จำเป็น

 

  1. 你做的事情真不像话

        (ต.  你做的事情真不像話。)

        Nǐ zuò de shì qíng zhēn bù xiàng huà。  

เรื่องที่คุณทำไปนั้นใช้ไม่ได้จริงๆ

 

  1. 不管你做什么,我都不在乎

        (ต.  不管你做什么,我都不在乎。)

        Bù guǎn nǐ zuò shén mo   wǒ dōu bù zài hū。  

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม  ผมก็ไม่สนใจอยู่ดี

 

  1. 你知道吗我跟我的女朋友吹了

        (ต.你知道嗎我跟我的女朋友吹了? )  

Nǐ zhī dào ma wǒ gēn wǒ de nǚ péng yǒu chuī le

คุณรู้ไหมว่า  ผมกับแฟนสาวของผมแยกทางกันแล้ว

        เพิ่มเติม  吹了หากแปลตรงตัว  แปลว่า พัดไปแล้ว  ปิ๋วไปแล้ว

 

公司与外国投资者的合作工程已经吹了

        (ต.  公司与外國投資者 的合作工程已經吹了。)

        Gōng sī yǔ wài guó tóu zī zhě de hé zuò gōng chéng yǐ jīng chuī le。  

โครงการความร่วมมือระหว่างบริษัทกับนักลงทุนต่างชาติ้มเหลวซะแล้ว / ปิ๋วซะแล้ว

 

  1. 事情已经过了那么多年,你就别跟妈妈过不去了吧。

        (ต.  事情已經過了那么多年,你就別跟媽媽過不去了吧。)

        Shì qíng yǐ jīng guò le nǎ mo duō nián,   nǐ jiù bié gēn mā mā guò bù qù le ba。   

เรื่องมันก็ผ่านไปนานตั้งหลายปีแล้ว    คุณก็อย่าหมางเมินกับคุณแม่อีกเลย

 

  1. 左说右说我还是听不懂你想说什么?

        (ต.  你左說右說我還是听不懂你想說什么?)  

         zuǒ shuō yòu shuō wǒ hái shì tīng bù dǒng nǐ xiǎng shuō shén mo? 

ที่คุณพูดอยู่ตั้งนานนั้นผมยังคงฟังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณอยากจะพูดอะไรกันแน่

 

  1. 今天他怎么了?脾气时好时坏的。

        (ต.今天他怎么了?脾气 時好時坏的。 )   

        Jīn tiān tā zěn mo le?   pí qì shí hǎo shí huài de。  

วันนี้เขาเป็นอะไรไป?   อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

 

  1. 你又没有加班还那么晚回家,好像有点儿说不来

(ต.你又沒有加班還那么晚回家,好像有點儿說不來。 ) 

Nǐ yòu méi yǒu jiā bān huán nǎ mo wǎn huí jiā,  hǎo xiàng yǒu diǎn ér shuō bù lái

คุณไม่ได้ทำงานล่วงเวลาแต่ยังกลับบ้านดึกขนาดนี้   ดูเหมือนว่าจะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นนะ

 

  1. 虽然节日的水果贵了一点,但还算说得来

(ต.雖然節日的水果貴了一點,但還算說得來。)

Suī rán jié rì de shuǐ guǒ guì le yī diǎn, dàn huán suàn shuō de lái。  

แม้ว่าผลไมในวันเทศกาลจะแพงไปหน่อย   แต่ก็ยังถือว่าพอจะยอมรับได

 

  1. 去那么远的地方才买一点东西,我说有点划不来吧。

      (ต.去那么遠的地方才買一點東西,我說有點划不來吧。  )

      Qù nǎ mo yuǎn de dì fāng cái mǎi yī diǎn dōngxī,   wǒ shuō yǒu diǎn huá bù lái ba。  

      ไปที่ไกลขนาดนั้นแต่กลับซื้อของมานิดเดียว   ผมว่ามันไม่ค่อยคุ้มนะ

 

  1. 你不帮忙就算了,别说风凉话好不好?

      (ต.你不幫忙就算了,別說風涼話好不好? )

      Nǐ bù bāng máng jiù suàn le, bié shuō fēng liáng huà hǎo bù hǎo?  

      ถ้าคุณไม่ช่วยก็แล้วไปซิ   แต่อย่ามาพูดจาบันทอนกำลังใจจะได้ไหมเนี่ย?

      เพิ่มเติม  สำนวนคำว่า พูดจาบั่นทอนกำลังใจ  นอกจาก说风凉话(แปลตรงตัวว่า พูดจาแบบเย็นชืด) ยังมีอีกสำนวนหนึ่ง  พูดว่า 泼冷水(สาดด้วยน้ำเย็น)  ประมาณว่า  ร่างกายกำลังอุ่นได้ที่และพร้อมทำงานแล้ว กลับถูกราดด้วยน้ำเย็นเข้าให้

 

  1. 你光说梦话,可是不行动一定不成功。

      (ต.你光說夢話,可是不行動一定不成功。 )

      Nǐ guāng shuō mèng huà, kě shì bù xíng dòng yī dìng bù chéng gōng。

      คุณเอาแต่ฝันกลางวัน  แต่ไม่ปฏิบัติอะไรเลยย่อมไม่สำเร็จอยู่แล้ว

 

  1. 我不是吹牛,我说做得到就一定做得到。

      (ต.  我不是吹牛,我說做得到就一定做得到。)  

      wǒ bú shì chuī niú , wǒ shuō zuò de dào jiù yī dìng zuò de dào。  

      ผมไม่ได้โม้นะ   ผมบอกว่าทำได้ก็ต้องทำได้แน่

      เพิ่มเติม  สำนวนคำว่า吹牛(เป่าวัว หมายถึง ขี้โม้)  ยังพูดอีกแบบว่า  吹牛皮(เป่าหนังวัว)หมายถึงพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เกินจริง  และขี้อวด

 

  1. 昨天我看上了一双鞋子,我明天一定要去买。

      (ต.  昨天我看上了一雙鞋子,我明天一定要去買。)    

      Zuó tiān wǒ kàn shàng le yī shuāng xié zi, wǒ míng tiān yī dìng yào qù mǎi。  

      วันนี้ฉันถูกใจรองเท้าคู่หนึ่งเข้าแน่ะ    พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปซื้อให้ได้

 

  1. 今天太阳从西边出来了吗?怎么你不迟到?

      (ต.今天太陽從西邊出來了嗎?怎么你不遲到? )

      jīn tiān tài yáng cóng xī biān chū lái le ma?  Zěn mo nǐ bù chí dào?  

      วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไงกัน?   คุณไม่มาสายแฮะ?

      เพิ่มเติม  สำนวน太阳从西边出来了 คล้ายกับสำนวนไทยว่า  คงต้องเกิดอาเพสอะไรสักอย่างแน่เลย ใช่เวลาเราพูดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะเชื่อ  เช่น  ต้องเกิดอาเพสอะไรสักอย่างแน่เลย  คุณถึงได้กลายเป็นคนดีขนาดนี้(ประมาณว่าไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง)

 

  1. 一看新闻就那么多暴力新闻,真让人倒胃口

      (ต.一看新聞就那么多暴力新聞 ,真讓人倒胃口。)

      Yī kàn xīn wén jiù nǎ mo duō bào lì xīn wén, zhēn ràng rén dào wèi kǒu。  

      พอดีข่าวทีไรก็เต็มไปด้วยข่าวเกี่ยวกับความรุนแรง    ชวนให้รู้สึกแย่/กินอะไรไม่ลง จริงๆ

เพิ่มเติม倒胃口  แปลตรงตัวจะมีความหมายว่า  พลิก/กลับกระเพาะออกมา  หรือการคายอาหารทั้งหมดที่กินลงไปออกมา   หมายถึง เกิดความรู้สึกยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่พบเห็น  เหมือนสำนวนไทยว่า กินอะไรไม่ลง  อยากจะอาเจียน  ฯลฯ   เช่น   ภาพสยดสยองแบบนี้ผมเห็นแล้วแทบกินอะไรไม่ลงเลย

 

  1. 你怎么能让他一个人在外面喝西北风

(ต. 你怎么能讓他一個人在外面喝西北風?)

Nǐ zěn mo néng ràng tā yī gè rén zài wài miàn hē xī běi fēng?  

คุณปล่อยให้เขาตากลม/กร่อย อยู่ข้างนอกคนเดียวได้ยังไงกัน?

 

  1. 广东菜是妈妈的拿手好戏

      (ต. 廣東菜是媽媽的拿手好戲。)   

      Guǎng dōng cài shì mā mā de ná shǒu hǎo xì。  

      อาหารกวางตุงเป็นของถนัดของแม่เชียวล่ะ

 

 

  1. 今天晚上我要露两手,做一两个菜给你们尝。

      (ต.  今天晚上我要露兩手,做一兩個菜給你們嘗。)  

      Jīn tiān wǎn shàng wǒ yào lù liǎng shǒu, zuò yi liǎng gè cài gěi nǐ men cháng。

      คืนนี้ผมจะแสดงฝีมือสักหน่อย  ทำอาหารสักจานสองจานให้พวกคุณชิม

 

 

  1. 现在足球是最热门的运动项目。

      (ต.現在足球是最熱門的運動項目。 )

      Xiàn zài zú qiú shì zuì rè mén de yùn dòng xiàng mù。

      ปัจจุบัน  กีฬาฟุตบอลเป็นรายการกีฬาที่มาแรงที่สุด

 

  1. 泰国队爆冷门大胜英国队。

      (ต.泰國隊爆冷門大胜英國隊。)

      Tài guó duì bào lěng mén dà shèng yīng guó duì。

      ทีมชาติไทยเป็นม้ามืดชนะทีมอังกฤษอย่างท่วมท้น

 

  1. 听说明年经济会走下坡路

      (ต.听說明年經濟 會走下坡路。) 

      Tīng shuō míng nián jīng jì huì zǒu xià pō lù。  

      ได้ข่าวว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ขาลง

 

  1. 人人都说他是纸老虎

      (ต.人人都說他是紙老虎。   )

      Rén rén dōu shuō tā shì zhǐ lǎo hǔ。  

ใครๆก็บอกว่าเขาเป็นแค่เสือกระดาษ 

 

  1. 他跳楼自杀了?这真让我大吃一惊

      (ต.他跳樓自殺了?這真讓我大吃一惊! )

      Tā tiào lóu zì shā le?  Zhè zhēn ràng wǒ dà chīyī jīng!  

      เขากระโดดตึกฆ่าตัวตาย?    นี่ทำผมใจหายวาบ/ตกใจ จริงๆ

 

  1. 让我最感到意外的是他结婚了。

(ต.  讓我最感到意外的是他結婚了。) 

 Ràng wǒ zuì gǎn dào yì wài de shì tā jié hūn le。

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจที่สุดคือเขาแต่งงานแล้ว

 

  1. 今天我们人员不够,所以服务不周到,请多多谅解

      (ต.  今天我們人員不夠,所以服務不周到 ,請多多諒解。)

      Jīn tiān wǒ men rén yuán bú gòu, suǒ yǐ fú wùbù zhōu dào, qǐng duō duō liàng jiě。  

      วันนี้พนักงานของเราไม่พอ   ฉะนั้นการบริการจึงไม่ทั่วถึง  โปรดเห็นใจและให้อภัยด้วยครับ

 

  1. 我说什么他都不听话,真气愤

      (ต.我說什么他都不听話,真气憤。)  

       wǒ shuō shén mo tā dōu bù tīng huà,   zhēn qì fèn。  

      ผมพูดอะไรเขาก็ไม่ฟัง   น่าโมโหจริงๆ

 

  1. 你的想法我只赞成一部分

      (ต.  你的想法我只贊成一部分。) 

      Nǐ de xiǎng fǎ wǒ zhī zàn chéng yī bù fēn。  

      ความคิดของคุณผมเห็นด้วยเพียงบางส่วน

 

  1. 虽然我没有钱,但是我坚决要奋斗下去。

      (ต.  雖然我沒有錢,但是我堅決要奮斗 下去。)

      Suī rán wǒ méi yǒu qián, dàn shì wǒ jiān jué yào fèn dòu xià qù。

      ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีเงิน   แต่ผมยืนกรานทีจะฟันฝ่าต่อไป

 

  1. 这个人老是埋怨他人从来不承认自己的错。

      (ต.這個人老是埋怨他人從來不承認自己的錯。

      Zhè gè rén lǎo shì mán yuàn tā rén, cóng láibù chéng rèn zì jǐ de cuò。 )

      คนๆนี้เอาแต่ตัดพ้อคนอื่อยู่เรื่อย    ไม่เคยยอมรับความผิดของตัวเองเลย

 

  1. 以前我从来不相信,但是今天我后悔了

      (ต.  以前我從來不相信,但是今天我后悔了。)   

      Yǐ qián wǒ cóng lái bù xiāng xìn, dàn shì jīntiān wǒ hòu huǐ le。  

      เมื่อก่อนผมไม่เคยเชื่อเลย   แต่วันนี้ผมรูสึกเสียใจภายหลังซะแล้ว

 

  1. 老板已经决堤了,大家只能无可奈何了。

      (ต.老板已經決堤了,大家只能無可奈何了。 )   

Lǎo bǎn yǐ jīng jué tí le, dà jiā zhī néng wú kě nài hé le。 

เถ้าแก่ตัดสินขั้นเด็ดขาด/ไม่ยอมรับฟังอีกต่อไปแล้ว   ทุกคนได้แต่จำยอม

 

  1. 你的分数这么好我真羡慕你

      (ต.  你的分數這么好我真羡慕你。)   

      Nǐ de fēn shù zhè mo hǎo wǒ zhēn yí mù nǐ。  

      คะแนนของคุณดีขนาดนี้   ผมอิจฉาคุณจริงๆ

 

  1. 这个人嫉妒心很强

      (ต.  這個人嫉妒心很強。)

      Zhè gè rén jí dù xīn hěn qiáng。  

      คนๆนี้จิตใจริษยารุนแรงมากๆ

 

 

  1. 这部电影的内容正在讽刺那些喜欢不懂装懂的留学生。

      (ต.  這部電影的內容 正在諷刺那些喜歡不懂裝懂的留學生。) 

      Zhè bù diàn yǐng de nèi róng zhèng zài fēng cì nǎ xiē xǐ huān bù dǒng zhuāng dǒng de liú xué shēng。

      เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังเสียดสีพวกนักเรียนนอกบางคนที่ไม่รู้แล้วชอบทำเป็นรู้ดี

 

 

  1. 现在已经有很多科学定律已经被否定了。

      (ต.  現在已經有很多科學定律 已經被否定了。)

      Xiàn zài yǐ jīng yǒu hěn duō kē xué dìng lǜ yǐjīng bèi fǒu dìng le。

      ปัจจุบันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์มากมายได้เถูกปฏิเสธ/ตัดสินให้ยกเลิกไปแล้ว

 

 

  1. 泰国的国王是最令人赞叹的一位君主。

      (ต.泰國的國王是最令人贊嘆的一位君主。 )  

       Tài guó de guó wáng shì zuì lìng rén zàn tàn deyī wèi jūn zhǔ。  

      พระมหากษัตริย์ของไทยเป็นกษัตริย์ที่น่าชื่นชมที่สุดในสายตาผู้คนพระองค์หนึ่ง

 

 

  1. 我觉得你的想法听起来好像有点矛盾

      (ต.  我覺得你的想法听起來好像有點矛盾。)  

      wǒ jué de nǐ de xiǎng fǎ tīng qǐ lái hǎo xiàngyǒu diǎn máo dùn。 

      ผมรู้สึกว่าความคิดของคุณฟังดูแลเหมือนจะขัดแย้งกันเองอยู่บ้าง

 

 

  1. 我最厌恶贪心利己的人

      (ต.我最厭惡貪心利己 的人 )

      wǒ zuì yàn wù tān xīn lì jǐ de rén 。

      ผมเกลียดชังพวกละโมบและเห็นแก่ประโยคส่วนตนที่สุด

 

 

 

3. โครงสร้างวลีที่น่าสนใจ

        การทำความเข้าใจโครงสร้างวลีจะช่วยให้เราจดจำและเข้าใจความหมายของสำนวนได้เร็วและง่ายขึ้น   เพราะโครงสร้างเหล่านี้สามารถเป็นหลักให้เรายึดไว้ได้   แม้เราจะยังไม่เข้าใจสำนวนนั้นทั้งหมด  แต่อย่างน้อยเราสามารถเดาความหมายได้ใกล้เคียง  เพราะการมีหลักสำหรับยึดไว้ย่อมทำให้เราไม่หลุดไกลออกไปจากคำตอบที่ถูกต้อง   แม้เราอาจแปลได้ไม่ตรงความหมายนัก  แต่อย่างน้อยเราก็มาถูกทาง  การค้นพบคำตอบสุดท้ายจึงอยู่ไม่ไกลเอื้อม  

 

+ คำนาม(อวัยวะ)+ ภาคแสดง(การกระทำ)

ทำบางอย่างด้วยตัวเอง  เหมือนที่ภาษาไทยเราพูดว่า

เห็นกับตา   ทำกับมือ  เจอมากับตัว ฯลฯ

 

亲眼看到 เห็นกับตาตัวเอง    เช่น

我亲眼看到他偷东西。

(ต.我親眼看到他偷東西。)  

wǒ qīn yǎn kàn dào tā tōu dōng xī。

ผมเห็นกับตาตัวเองว่าเขาขโมยของ

 

亲手+ กริยาที่เกี่ยวกับมือ    แปลว่า  ...ด้วยมือตัวเอง  เช่น

他亲手把文件交给我

(ต. 他親手把文件交給我。)

Tā qīn shǒu bǎ wén jiàn jiāo gěi wǒ。

เขามอบเอกสารให้กับผมด้วยมือเขาเอง

 

亲自 +  การกระทำ   แปลว่า  ... ด้วยตนเอง  เช่น

他会亲自来调查。

(ต.明天他會親自來調查。 )

wǒ qīn yǎn kàn dào tā tōu dōng xī。

พรุ่งนี้เขาจะมาตรวจสอบด้วยตนเองแน่

เพิ่มเติม:  โครงสร้าง  会……的  แปลว่า   จะ......แน่  (ใช่เมื่อผู้พูดต้องการรับปาก/ยืนยันการกระทำบางอย่าง  มักจะใช้ในกรณีสัญญาด้วยปากเปล่า)

 

亲身+体会/接触   ได้สัมผัส/เรียนรู้และเข้าใจ  ด้วยตัวเอง  ภาษาไทยมักใช้คำว่า  เจอมากับตัว /  ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด  เช่น

破产后他才亲身体会了什么是贫穷。

(ต.破產 后他才親身体會了什么是貧窮 。)

Pò chǎn hòu tā cái qīn shēn tǐ huì le shén mo shì pín qióng 。  

หลังจากที่ล้มละลายแล้ว  เขาถีงจะได้สัมผัสกับตัวว่าอะไรคือความยากจน

 

(สะดวก/พอดีจังหวะ/ถือโอกาส)/(ติด/ตาม)+ คำนาม(อวัยวะ) + ภาคแสดง(การกระทำ)

กระทำธุระในจังหวะสบโอกาสพอดี   เหมือนที่คนไทยเราพูดว่า

ถือโอกาสเล่าให้ฟัง   พอดีทางจึงพาไปส่ง   สะดวกมือจึงหยิบมาให้

 

他随地乱丢垃圾。                   

(ต.他隨地亂丟垃圾。 )

Tā suí dì luàn diū là jí。      

เขาเที่ยวทิ้งขยะตามพื้นดิน

 

我随手带书来。                  

(ต.我隨手帶書來。 )

wǒ suí shǒu dài shū lái。       

ผมหยิบหนังสือติดมือมาด้วย

 

你应该随身带点儿钱。

(ต. 你應該隨身帶點儿錢。 )

Nǐ yìng gāi suí shēn dài diǎn ér qián。  

คุณควรจะพกเงินติดตัวบ้าง

 

你走过来的时候,请顺手把书拿来。 

(ต.你走過來的時候,請順手把書拿來。)

Nǐ zǒu guò lái de shí hòu , qǐng shùn shǒu bǎ shū ná lái 。

ตอนคุณเดินมา  ถือโอกาสหยิบหนังสือมาด้วยเลย

 

我顺路,让我送你吧。

(ต.我順路,讓我送你吧。)

wǒ shùn lù,   ràng wǒ sòng nǐ ba。   

ผมพอดีทางนะ   ให้ผมไปส่งคุณก็แล้วกัน

 

เพิ่มเติม 

ความแตกต่างระหว่าง随便….และ顺便

 

随便聊聊。

(ต.隨便聊聊。 )

Suí biàn liáo liáo。  

คุณกันตามสบาย/คุยตามใจชอบ(ไม่ต้องคำนึงอะไรมากมาย)               

 

我说话很随 便,请不要见怪。

(ต.我說話很隨 便,請不要見怪。)

wǒ shuō huà hěn suí biàn qǐng bú yào jiàn guài。  

ผมเป็นคนพูดจาตามใจชอบมาก(โผงผาง)   โปรดอย่าเห็นเป็นเรื่องแปลก(อย่าได้ถือสา)

 

如果你去买纸的话,顺便帮我买点吃的。

(ต.如果你去買紙的話,順便幫我買點吃的。 )

Rú guǒ nǐ qù mǎi zhǐ de huà, shùn biàn bāng wǒ mǎi diǎn chī de。  

ถ้าคุณจะไปซื้อกระดาษล่ะก็    ถือโอกาสช่วยซื้อของกินให้ผมหน่อยก็แล้วกัน

 

我不是专门来看你的,只是顺便来看看罢了。

(ต.我不是專門來看你的,只是順便來看看罷了。)

wǒ bú shì zhuān mén lái kàn nǐ de , zhī shì shùn biàn lái kàn kàn bà le。  

ผมไม่ได้มาหาคุณโดยเฉพาะหรอก   แค่พอดีจังหวะก็เลยมาเยี่ยมสักหน่อยเท่านั้นเอง

   

 

 

+คำนาม(มักจะเป็นตำแหน่ง/ที่ตั้ง)+คำนาม(วัตถุ)

บางสิ่งกระจายอยู่ทั่วบริเวณทำเลที่พูดถึง  เหมือนที่ภาษาไทยเราพูดว่า

น้ำตานองหน้า   ขยะเต็มพื้น   บาดแผลเต็มตัว   นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมือง

 

这孩子很调皮,老是玩得满身伤肿。

(ต.這孩子很調皮,老是玩得滿身傷腫。)

Zhè hái zi hěn tiáo pí, lǎo shì wán de mǎn shēn shāng zhǒng。

เด็กคนนี้ซนมาก  มักจะเล่นจนแผลเต็มตัว

 

他满头大汗,好像刚刚比赛回来。

(ต.他滿頭大汗,好像剛剛比賽回來。)

Tā mǎn tóu dà hàn, hǎo xiàng gāng gāng bǐ sài huí lái。 

เขาเหงื่อเต็มหน้า     ดูเหมือนว่าเพิ่งจะกลับจากการแข่งขัน

 

那位满面泪痕的姑娘一定是病者的姐姐。

(ต.  那位滿面淚痕 的姑娘一定是病者的姐姐。)

Nǎ wèi mǎn miàn lèi hén de gū niáng yī dìng shìbìng zhě dí jiě jiě。  

หญิงสาวที่คราบน้ำตานองหน้าคนนั้นต้องเป็นพี่สาวของผู้ป่วยแน่เลย

 

冬季满天飞雪,美极了!

(ต. 冬季滿天飛雪,美极了!)

Dōng jì mǎn tiān fēi xuě, měi jí le!  

ยามฤดูหนาวหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า    ช่างงามเหลือเกิน!

 

 

难以 + กริยาสองประเภทสองพยางค์

แปลเป็นไทยว่า   ยากที่จะ......    เช่น

ยากที่จะทำใจได้   ยากที่จะลืมเลือน    ยากที่จะรับปาก

 

原来他就是小偷,真令我难以置信。

(ต.原來他就是小偷,真令我難以置信。 )

Yuán lái tā jiù shì xiǎo tōu,   zhēn lìng wǒ nányǐ zhì xìn。

ที่แท้เขาก็คือหัวขโมย   มันทำให้ผมยากที่จะทำใจเชื่อได้จริงๆ

 

我觉得几何是最难以解决的考题。

(ต.我覺得几何 是最難以解決的考題。)

wǒ jué de jǐ hé shì zuì nán yǐ jiě jué de kǎo tí。

ผมรู้สึกว่าวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์เป็นโจทย์ที่แก้ยากที่สุด

                                   

 

互相 + กริยาสองประเภทสองพยางค์

แปลเป็นไทยว่า   ...... ซึ่งกันและกัน  เช่น

ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน   สนับสนุนซึ่งกันและกัน   แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

 

我们是同班,应该互相帮助才对。

(ต.我們是同班,應該互相幫助才對)

wǒ men shì tóng bān ,  yìng gāi hù xiāng bāng zhùcái duì。  

เราเป็นเพื่อนร่วมห้อง   ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก

 

如果双方互相原谅就不会再冲突了。

(ต. 如果雙方互相原諒就不會再沖突 了。)   

Rú guǒ shuāng fāng hù xiāng yuán liàng jiù bùhuì zài chōng tú le。

หากทั้งสองฝ่ายต่างให้อภัยซึ่งกันและกันก็จะไม่เกิดเหตุบาดหมางกันอีก

 

                                   

不得不+ภาคแสดง(การกระทำ)

แปลเป็นไทยว่า  ไม่อาจไม่...... /  จำเป็นต้อง ......

เช่น   ไม่อาจไม่ยอมรับ    จำเป็นต้องคำนึงถึง

 

你太过分了!我不得不警告你。

(ต. 你太過分了!我不得不警告你。 )

Nǐ tài guò fēn le!  wǒ bù de bù jǐng gào nǐ。  

คุณทำเกินไปแล้ว   ผมจำเป็นต้องตักเตือนคุณ

 

这次考试很重要,学生们不得不认真复习。

(ต.這次考試很重要,學生們不得不認真复習。 )

Zhè cì kǎo shì hěn zhòng yào,   xué shēng men bù debù rèn zhēn fù xí。  

การสอบครั้งนี้สำคัญมาก    เหล่านักเรียนไม่อาจไม่ตั้งใจทบทวน(จำเป็นต้องตั้งใจทบทวน)

 

 

费尽+ภาคแสดง(การกระทำ)

แปลเป็นไทยว่า  ......อย่างสุดความสามารถ  /  ......อย่างทุ่มสุดตัว

เช่น  ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ   ใช้ทุนทรัพย์ชนิดสุดกำลังเท่าที่มี

 

王经理在工作上费尽精力,终于做出了成就。

(ต.王經理在工作上費盡精力,終于做出了成就。)

Wáng jīng lǐ zài gōng zuò shàng fèi jìn jīng lì, zhōng yú zuò chū le chéng jiù。

ผู้จัดการหวังทุ่มกำลังกายและใจอย่างสุดตัวในการทำงาน  ในที่สุดก็สร้างผลงานจนได้

 

尽量+ภาคแสดง(การกระทำ)

แปลเป็นไทยว่า   ......เท่าที่สามารถ

เช่น   ช่วยเหลือเท่าที่สามารถ  

 

你身体还没恢复,尽量多吃一点。

(ต. 你身体還沒恢复,盡量多吃一點。)

Nǐ shēn tǐ huán méi huī fù, jìn liàng duō chī yī diǎn。  

ร่างกายของคุณยังไม่ฟื้นตัว   พยายามทานเยอะๆเท่าที่ยังทานไหว

 

尽力+ภาคแสดง(การกระทำ)

แปลเป็นไทยว่า   ......อย่างสุดกำลัง  (มักจะหมายถึงกำลังกาย) /  ......เท่าที่กำลังจะอำนวย

我会尽力保住城门,你们快走吧。

(ต. 我會盡力保住城門,你們快走吧。)

wǒ huì jìn lì bǎo zhù chéng mén , nǐ men kuài zǒu ba。

ข้าจะปกป้องประตูเมืองไว้เท่าที่กำลังจะอำนวย   พวกท่านรีบไปจากที่นี่เถอะ

* หากแปลเป็นไทย  คำว่า 尽 หมายถึง   สุด... / เท่าที่...อำนวย    

 

                 

4. คำคล้าย

      ข้อสอบเกี่ยวกับคำคล้ายเป็นโจทย์ที่ออกทุกปี   และแน่นอน  ไม่เคยมีปีไหนออกข้อสอบซ้ำ  หรือใช้คำศัพท์ซ้ำ   การคาดเดาว่าปีนี้จะออกคำไหนหรือจะถามอะไรย่อมเป็นสิ่งที่เสียเวลาเปล่าและไร้ประโยชน์  แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะยึดถือเป็นแนวทางสำหรับการทำโจทย์แบบนี้คือการสังเกตและรวบรวบรากศัพท์   เพราะอย่างน้อยที่สุด   ตัวรากศัพท์จะบอกเราได้ว่าคำประสมดังกล่าวน่าจะมีความหมายประมาณไหน  ส่วนคำที่ถูกนำมาผสมกับรากศัพท์ย้อมเติมเต็มความหมายในเชิงเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น   ตัวอย่างเช่น

发 รากศัพท์หมายถึง                   1.แจก ส่ง เผยแพร่   กระจาย   

                              2.เกิด (ความรู้สึก) ปรากฏ (ลักษณะ)   ออกอาการ

发射  ยิงออกไป  (发ส่ง+射ยิง)

发行  จัดเผยแพร่   (เกิดจาก发เผยแพร่+行สัญจร   หรือ เผยแพร่โดยการเดินทางออกไป)

发誓  สาบาน   (เกิดจาก  发เผยแพร่+誓คำมั่น/คำสัญญา)

发酸  รู้สึกเมื่อย  (发เกิด+酸ความเมื่อย)   *คำว่า酸 ในกรณีนี้ไม่ได้แปลว่า เปรี้ยว แต่แปลว่า เมื่อยล้า

发霉  ขึ้นรา  (  发เกิด+霉เชื่อรา)

发麻  รู้สึกชา  (发เกิดอาการ+麻ชา/เป็นเหน็บ)

发火  โกรธ/ระเบิดอารมณ์  ( 发ออกอาการ  + 火 ไฟ / เป็นฟืนเป็นไฟ)

发病   อาการกำเริบ(หมายถึงอาการป่วย)   (发ออกอาการ + 病ป่วย)

发明  ประดิษฐ์คิดค้น   ( 发เกิด + 明 ความสว่าง/ประกายความคิด)

发现  ค้นพบ   ( 发ปรากฏ +现 เกิดเป็นรูปร่าง)

 

      เมื่อเรารู้ว่ารากศัพท์คำว่า 发 มีขอบเขตการใช้อย่างไร  สิ่งที่ตามมาคือ  เราจะสามารถคาดเดาความหมายคำประสมได้ง่ายขึ้น   ประการต่อมาคือเรามองเห็นขอบเขตคร่าวๆของวิธีการใช้คำว่า发  ทำให้จำกัดขอบเขตของการท่องศัพท์แคบลงและตรงประเด็นมากขึ้น   ดีกว่าการท่องโดยไม่มีหลักในการยึดเหนี่ยวและไม่มีขอบเขต กลายเป็นแค่การ “ท่องไปเรื่อย” ประการสุดท้าย เมื่อเรารู้แล้วว่าขอบเขตในการท่องศัพท์คืออะไร เราย่อมแบ่งเวลาเป็น และยังสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคำคล้ายแต่ไม่เหมือนพวกนี้ได้ง่ายขึ้นอีกหลายเท่า

      อธิบายโดยไม่ยกตัวอย่างนักเรียนอาจยากที่จะมองเห็นภาพและเข้าใจตรงกับผู้สอน   ฉะนั้นจึงขอยกตัวอยางข้อสอบเก่าดังต่อไปนี้เพื่อเป็นการฝึกตะลุยโจทย์ในตัว  

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2545

 

1.在图书馆看书得________安静。    

      1. 保持                 `     2. 保守

      3.保留                    4. 保护

 

โจทย์กล่าวว่า :การอ่านหนังสือในห้องสมุด (图书馆 =ห้องสมุด)   ควรจะ ................ความสงบ 

คงนึกออกไม่ยากว่าโจทย์ข้อนี้ต้องการแต่งประโยคว่า   ควรจะรักษาความสงบ / อยู่ในความสงบ   แต่ปัญญาหาคือนักเรียนไทยไม่น้อยที่เคยเรียนในหนังสือและพบว่า  ตัวเลือกทั้งสี่ตัว  แปลว่า  “รักษา” ทั้งสิ้น   ซึ่งเป็นการแปลที่ไม่ถูกต้องนัก   ความจริงก็คือ

      1. 保持 เกิดจากคำว่า保ประกัน/ป้องกัน + 持ดำรงไว้ รักษาระดับไว้ = ดำรงไว้ / ดำเนินไว้ให้ได้ตลอดเวลา     (หมายถึงการรักษาสถานการณ์บางอย่างให้ทรงตัวไว้)

      2. 保守 เกิดจากคำว่า       保ประกัน/ป้องกัน +守 เฝ้า/ไม่ยอมไปไหน/ไม่เปลี่ยนแปลง   = อนุรักษ์นิยม   รักษาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง (หมายถึงอุปนิสัยแบบหัวโบราณ) 

      3.保留เกิดจากคำว่า 保ประกัน/ป้องกัน +留หลงเหลือไว้   = เก็บรักษาไว้ไม่ให้สูญหาย (ใช้กับการเก็บรักษาวัตถุ)

      4. 保护 เกิดจากคำว่า     保ประกัน/ป้องกัน+护ป้องกัน/คุ้มกัน=รักษา / ปกป้อง (หมายถึงการรักษาให้พ้นจากการถูกทำร้าย)

      โจทย์ต้องการบอกว่า  รักษาความสงบหรืออยู่ในความสงบ  ไม่รบกวนผู้อื่น   ย่อมหมายถึงการดำเนินสภาพความเงียบไว้ให้นาน    ตรงกับตัวเลือกข้อ 1保持 คำตอบที่ถูกต้องคือ

在图书馆看书得保持安静。

(ต.在圖書館看書得保持安靜。)

Zài tú shū guǎn kàn shū de bǎo chí ān jìng。

การอ่านหนังสือในห้องสมุดควรจะอยู่ในความสงบ

      *คำอธิบายข้างต้นเป็นการอธิบายอย่างละเอียด และแน่นอน กระบวนการความคิดทั้งหมดที่อธิบายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราใช้ในการสอบ เพราะขณะสอบเราไม่มีเวลาเรียบเรียงความคิดมากมายขนาดนี้    แต่กระบวนการดังกล่าวคือสิ่งที่นักเรียนควรจะเรียนรู้ในช่วงทบทวนหนังสือต่างหาก ยามปกติ ทุกครั้งที่นักเรียนพบคำที่คล้ายคลึงกับคำที่เคยเรียนก็ควรจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อแปลความหมายให้ตรงกับคำไทย และสรุปเป็นคำตอบที่แน่นอน เพื่อไม่เกิดอาการงง เมื่อเจอตัวเลือกทุกตัวแปลว่า “รักษา” ได้ทั้งสิ้น

      สรุป

      1. 保持 ดำรงไว้ (รักษา+สถานการ)        2. 保守 อนุรักษ์นิยม  ทำตัวหัวโบราณ

      3.保留 เก็บรักษา                 4. 保护 ปกป้องรักษา

 

2.暑假_______,父母带孩子到外国去游览。

 

      1.时候                       2. 时机

      3.期间                       4. 期限

 

เฉลย  ตอบ ข้อ 3

      暑假期间,父母带孩子到外国去游览。

      (ต.暑假期間,父母帶孩子到外國去游覽 。)

       Shǔ jiǎ qī jiān, fù mǔ dài hái zi dào wài guó qù yóu lǎn。   

      ช่วงเวลาปิดเทอม   คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ 

     

      ตัวเลือกทั้งสี่ข้อเป็นคำที่นักเรียนไทยมักเข้าใจปนกันว่า  “เวลา”ทั้งสิ้น   ซึ่งแท้จริงแล้วในภาษาไทยเรามีคำที่มีความหมายเกี่ยวกับเวลาอีกหลายคำ เช่น   ช่วงเวลา   จังหวะ ขอบเขตเวลา   ตอนที่...  ฯลฯ   แต่ละคำก็มีสถานการณ์ใช้ที่แตกต่างกัน  

 

      1.时候 คำนี้เด็กไทยแทบทุกคนถูกสอนให้แปลความหมายว่า “เวลา”ซึ่งผิด เพราะจะทำให้สับสนกับคำว่า时间 (เวลา) ความจริงแล้ว คำว่า时候 ควรแปลให้ถูกว่า ตอนที่...    และคำนี้จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีจุดอ้างอิงของเวลาขยายความอยู่หน้าคำว่า时候   เช่น 小学时候 ตอนประถม    吃饭时候ตอนทานข้าว   เราไม่สารถใช้คำนี้แทนคำว่า “เวลา”ได้   เช่น ถ้าเราจะพูดว่า ผมไม่มีเวลา   เราต้องพูดว่า 我没时间 ไม่สามารถพูดว่า 我没时候          

      2. 时机 เกิดจากคำว่า时เวลา+机会โอกาส   แปลเป็นไทยว่า จังหวะโอกาส

      3.期间     เกิดจากคำว่า期ช่วงเวลา+间ระหว่าง   แปลเป็นไทยว่า   ช่วงระหว่าง...(ควรจะมีจุดอ้างอิงของเวลาขยายความไว้หน้าคำว่า 时期 เช่น   暑假期间ช่วงระหว่างปิดเทอมฤดูร้อน   战争期间ช่วงระหว่างสงคราม 

      4. 期限 เกิดจากคำว่า期ช่วงเวลา +限จำกัด แปลเป็นไทยว่า กำหนดการ / ขอบเขตเวลา

 

ความจริงโจทย์ข้อนี้มีคำตอบที่ถูกอยู่2ข้อ  คือ ข้อ1 กับ  ข้อ 3  แต่ในการสอบเราจำเป็นต้องเลือกคำตอบที่ “ถูกที่สุด” ความแตกต่างระหว่างคำว่า 时候(ตอนที่...)   กับ  期间(ช่วงระหว่างที่...)  คือ  ถ้าใช้อย่างถูกต้อง   คำแรกมักเจาะจงที่การกระทำ  ส่วนคำหลังเจาะจงที่ช่วงเวลาซึ่งเฉพาะเจาะจงจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด(เช่น  ระหว่างเทศกาล  ระหว่างหนึ่งสัปดาห์แห่งการสอบ   ระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ คำเหล่านี้ถือว่าเฉพาะเจาะจงในจุดเริ่มต้นและจุดจบ)    ดูตัวอย่าง

 

                  洗手时候ตอนล้างมือ                           (ไม่เจาะจงจุดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด แต่เน้นที่การกระทำ)

                  看着你时候ตอนที่มองคุณอยู่               (ไม่เจาะจงจุดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด แต่เน้นที่การกระทำ)

                  看书时候ตอนที่อ่านหนังสือ                   (ไม่เจาะจงจุดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด แต่เน้นที่การกระทำ)

 

                  会议期间ช่วงระหว่างประชุม                 (เจาะจงช่วงเวลา  แต่ไม่เจาะจงการกระทำ)

                  准备期间ช่วงระหว่างการเตรียมตัว         (เจาะจงช่วงเวลา   แต่ไม่เจาะจงการกระทำ)

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2546

 

5.她书法很好,能写一手________的字。

      1.美丽                       2.美好

      3.漂亮                       4.鲜亮

 

เฉลย   ตอบ  ข้อ 4

      她书法很好,能写一手鲜亮的字。

      (ต.她書法很好,能寫一手鮮亮的字。)

      Tā shū fǎ hěn hǎo, néng xiě yī shǒu xiān liàng de zì。

      ทักษะเขียนคัดลายมือของหล่อนดีมาก   สามารถเขียนตัวอักษรได้งามตาอย่างยิ่ง

 

      ตัวเลือกทั้งสี่ข้อล้วนเป็นคำที่นักเรียนไทยเข้าใจผิดและจำสับสนกันบ่อยครั้งว่าแปลว่า สวย   แต่ในความเป็นจริง  คำว่าสวยนั้นความหมายกว้างมากทั้งในภาษาจีนและในภาษาไทย  เช่น  

                                    美丽สวยงาม   ใช้ได้กับทั้งวัตถุและการกระทำ  เช่น  สินค้าสวยงาม   ยิงประตูอย่างสวยงาม

                                    美好งดงาม   ใช้ได้กับจิตใจและความรู้สึก    เช่น  จิตใจที่งดงาม   จริยาวัตรอันงดงาม

                                    漂亮เลอโฉม  ใช้กับการชมสตรี   เช่น  เจ้าหญิงผู้เลอโฉม

                                    鲜亮งามตา สะดุดตา  ใช้กับสิ่งที่เห็น  เช่น  รูปร่าง  ลักษณะ  ลวดลาย 

                 

 

6.我国人民的生活水平不断地________。

      1.发达                       2.变化

      3.改善                       4.提高

เฉลย  ตอบ  ข้อ 6

      我国人民的生活水平不断地提高。

      (ต.我國人民的生活水平不斷地提高。 )

      wǒ guó rén mín de shēng huó shuǐ píng bù duàn dì tí gāo。

      ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนประเทศเรายกระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

      ตัวเลือกทั้งสี่ข้อมีความหมายที่ใกล้เคียงกัน  แต่มีความแตกต่างและขอบเขตในการใช้ที่ต่างกันดังนี้

                 

发达 เจริญก้าวหน้า      คำนี้ใช้เป็นคำคุณศัพท์และมักจะหมายถึง เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  คำที่มีความหมายใกล้เคียงคำนี้คือคำว่า 先进ล้ำหน้า /ล้ำยุค  

 

变化 เปลี่ยนแปลง      คำนี้ใช้เป็นกริยาและไม่บ่งบอกว่าเปลี่ยนแปลงแล้วดีขึ้นหรือแย่ลง   ใช้ในกรณีความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง หรือเหตุการณ์หนึ่งกลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง  

 

改善 ปรับปรุงพัฒนา     ใช้เป็นกริยา และมีความหมายแง่บวก    ใช้กับเรื่องของสิ่งแวดล้อม  ความเป็นอยู่  หรือ ระบบ  เช่น  สภาพแวดล้อมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น    ระบบการป้อนสินค้าได้รับการปรับปรุงพัฒนา ฯลฯ คำนามที่มักใช้กับกริยาคำนี้ได้แก่   生活环境สภาพความเป็นอยู่  工作环境สภาพการทำงาน  设备ระเบบ 

 

      提高 ยกระดับให้สูงขึ้น/ดีขึ้น  ใช้เป็นกริยา   มักจะใช้กับการเปลี่ยนแปลงของค่าตัวเลข หรือ ระดับของมาตรฐานบางอย่าง  กรณีโจทย์ข้อนี้กำลังพูดถึงระดับมาตรฐานการครองชีพหรือคุณภาพชีวิต  ซึ่งคนเรามักประเมินด้วยค่าตัวเลขหรือระดับอยู่แล้ว เช่น  ระดับล่าง  ระดับกลาง  ระดับสูง  ฉะนั้นใช้คำว่า 提高 จึงเหมาะสมกับคำนามคำว่า生活水平ระดับคุณภาพชีวิต  

 

21-23.甲 :咱们什么时候去看电影吧 !

            乙 :现在放假了,__21__哪一天都可以。

            甲 :看完电影再    __22__到书店去看看。

            乙 :就去世界贸易中心吧 ,书店和电影院紧挨著,__23__得很。

            甲 :好,明天下午去怎么样 ?

 

21.  1.方便                 2.顺便

            3.以便                 4.随便

 

22.  1.方便                 2.顺便

            3.以便                 4.随便

 

23.  1.方便                 2.顺便

            3.以便                 4.随便

 

เฉลย           21.  ตอบข้อ4   乙 :现在放假了,随便哪一天都可以。

                  (ต.現在放假了,隨便哪一天都可以。)

 Xiàn zài fàng jiǎ le, suí biàn nǎ yī tiān。

                                                      นาย ข :  ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว   ก็ตามแต่สะดวก   จะวันไหนก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ

                                    *随便 หมายถึง ตามใจชอบ ตามแต่สะดวก หรือ ถ้าพูดห้วนๆว่า “随便”ก็จะแปลว่า ตามใจคุณ

 

22.   ตอบข้อ2  甲 :看完电影再顺便到书店去看看。

                              (ต.看完電影再順便到書店去看看。)  

    kàn wán diàn yǐng zài shùn biàn dào shū diàn qù kàn kàn。 

                              ดูหนังเสร็จแล้วก็ถือโอกาสไปร้านหนังสือดูๆสักหน่อยซิ

  *顺便 หมายถึง ถือโอกาส   คำนี้วางอยู่หน้ากริยาเสมอ เช่น 顺便买书ถือโอกาสซื้อหนังสือ   顺便看看ถือโอกาสดูสักหน่อย

     

23.   ตอบข้อ1   乙 :就去世界贸易中心吧 ,书店和电影院紧挨著,方便得很。

                              (ต.就去世界貿易中心 吧 ,書店和電影院緊挨 著,方便得很。)        Jiù qù shì jiè mào yì zhōng xīn ba,   shū diàn hé diàn yǐng yuàn jǐn āi zhù,   fāng biàn de hěn。  

         นาย ข :งั้นก็ไปเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ก็แล้วกัน   ร้านหนังสืออยู่ติดๆกับโรงหนัง   สะดวกมากๆเลยนะ

                              * 方便 แปลว่า สะดวก   ใช้เป็นคำคุณศัพท์    เพิ่มเติม คำคุณศัพท์+得很 แปลว่า ......มากๆ / อย่าบอกใคร  เช่น  好吃得很อร่อยมากๆ  อร่อยอย่าบอกใคร

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2547

1.这个人________一定能成为著名的作家。

 

      1.将来                        2.未来

      3.前途                        4.目标

เฉลย  ตอบข้อ1    这个人将来一定能成为著名的作家。

      (ต. 這個人將來一定能成為著名的作家。)

      Zhè gè rén jiāng lái yī dìng néng chéng wéi zhù míng de zuò jiā。

      คนๆนี้ในอนาคตต้องสามารถกลายเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

 

      ความแตกต่างระหว่าง  คำว่า 将来  未来  前途 ซึ่งแปลเป็นไทยว่า  อนาคต  เหมือนกัน

      将来  ใช้เป็นคำนามบ่งบอกกาลเวลา  แปลว่า  อนาคต

      未来  ใช้เป็นคำนามบ่งบอกเวลาเหมือน将来  แต่มักหมายถึง  สักวันหนึ่งอันไกลโพ้น (มักจะใช้กับการเฟ้อฝันหรือจินตนาการ  เช่น  สักวันหนึ่งข้างหน้ามนุษย์เราจะไปให้ถึงดาวเสาร์  หรือ สักวันหนึ่งข้างหน้าโลกเราจะเต็มไปด้วยมนุษย์จักรกล)     ฉะนั้นจึงไม่นิยมใช้ในคำอวยพร  เพราะฟังดูไกลเกินเอื้อม   เช่นเราจะไม่อวยพรโดยพูดว่า  สักวันหนึ่งอันไกลโพ้น  คุณจะประสบความสำเร็จ  (คนฟังคงจะเหี่ยวเลยนะครับ) 

      前途  ใช้เป็นคำนาม  แต่ไม่ได้บ่งบอกกาลเวลา   แต่หมายถึงความสำเร็จ      เช่นการที่คนจีนชมว่า  你很有前途(คุณมีหนทางข้างหน้ามากมาย)  นั่นแปลว่ากำลังอวยพรว่า  “คุณเป็นคนที่มีอนาคต / คุณจะประสบความสำเร็จ”

      ในโจทย์ที่ให้มานั้น   ประโยคกำลังหมายถึงกาลเวลา  ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นอนาคตอันไกลโพ้น(未来)และไม่ได้หมายถึง มีอนาคต(有前途)    ฉะนั้น  将来 จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด

      ส่วนตัวเลือกที่4 คำว่า 目标 แปลว่า   เป้าหมาย   คำที่คล้ายคำนี้ได้แก่   目的 จุดประสงค์    用意เจตนา

 

2.不要让孩子养成爱吃零食的_______。

 

      1.毛病                        3.缺点

      3.错误                        4.罪过

 

เฉลย   ตอบข้อ 1   不要让孩子养成爱吃零食的毛病。

                        (ต.  不要讓孩子養成愛吃零食的毛病。)

                        Bú yào ràng hái zi yǎng chéng ài chī líng shí de máo bìng。  

                        อย่าปล่อยให้เด็กๆบ่มเพาะจนติดนิสัยทานขนมจุกจิก

 

 

                  ความแตกต่างระหว่าง  毛病  缺点   错误  罪过

      毛病 หมายถึง  ข้อเสียเล็กๆน้อยๆ (รากศัพท์  毛 แปลว่า เส้นขน  หรือ เล็กๆน้อยๆ   เช่น  毛毛雨ฝนตกปรอยๆ   毛孩子เด็กน้อย/เด็กเมื่อวานซืน   毛病ข้อเสียเล็กๆน้อยๆ  

                  缺点 หมายถึง  ข้อเสีย หรือ จุดที่ด้อย   คล้ายคำว่า 弱点จุดอ่อน   

      错误 หมายถึง  ความผิดพลาด   错แปลว่าผิด  误แปลว่าพลาด   เช่น  误车 ตกรถ(ขึ้นรถไม่ทัน)   误时间พลาดเวลา  误会เข้าใจผิด  误解เข้าใจผิด/ตีความหมายผิด (มักใช้กับเรื่องความรู้)

                  罪过 หมายถึง  ความผิดบาป   (ความผิดขั้นร้ายแรง)  คำว่า罪คือ โทษฐาน หรือ ข้อหาความผิด  เช่น   犯罪ทำผิดกฏหมาย    罪名ข้อหาความผิด   罪人ผู้กระทำผิด   千古罪人คนบาปที่ถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลาน   ฯลฯ

 

                  อุปนิสัยชอบทานของจุกจิก  (爱吃零食) ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง罪过   ไม่ใช่ความผิดพลาด错误  และไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อน缺点  ฉะนั้น คำที่มีน้ำหนักเหมาะสมกับประโยคนี้ คือ 毛病ข้อเสียเล็กๆน้อยๆ   

                  เพิ่มเติม  : คำว่า错误 มักจะใช้คู่กับกริยา 造成(ก่อให้เกิด)  เช่น  造成错误 ก่อให้เกิดความผิดพลาด 

                                    คำว่า 养成 ในโจทย์   แปลว่า  บ่มเพาะจนเกิดเป็นนิสัยบางอย่าง   ประโยคที่ใช้บ่อยๆคือ  养成......的习惯 (บ่มเพาะจนเกิดเป็นนิสัย ......)   เช่น  养成 挑吃的习惯 เกิดเป็นนิสัยเลือกกิน

 

 

5.大家要________要求自己,这样才会进步。

 

      1.严正                        2.严厉

      3.严密                        4.严格

 

เฉลย  ตอบข้อ4    大家要严格要求自己,这样才会进步。

                        (ต.大家要嚴格要求 自己,這樣才會進步 。)      

               Dà jiā yào yán gé yào qiú zì jǐ, zhè yàng cái huì jìn bù。   

                        ทุกคนต้องรู้จักกำหนดตัวเองอย่างเข้มงวด   แบบนี้ถึงจะพัฒนาไปข้างหน้าได้

                                   

                  รากศัพท์คำว่า 严 หมายถึง  ร้ายแรง  รุนแรง  เข้มงวด  และมีคำประสมที่มีความหมายแตกต่างกันดังนี้

                  严正 หมายถึงตรงไปตรงมาและจริงจัง    เกิดจากคำว่า 严肃จริงจัง ไม่ล้อเล่น + 正直ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม   เช่น 严正发表 ประกาศอย่างเป็นแข็งกร้าว / ตรงไปตรงมาและจริงจัง

                  严厉 หมายถึง  รุนแรง   ใช้กับการกระทำในลักษณะใช้ความรุนแรง   เช่น  严厉打击 โจมตี/ปราบปรามอย่างรุนแรง   严厉批评กล่าวตำหนิอย่างรุนแรง

                  严密 หมายถึง แน่นหนา/เข้มงวด(ในแง่ของการควบคุมหรือเฝ้ายาม)    เช่น  严密的防护 การป้องกันอย่างแน่นหนา

                  严格 หมายถึง  เข้มงวด  ไม่หย่อนยาน  (ใช้ในแง่การประพฤติตน)   บางครั้ง严格ยังหมายถึง  ในเชิงวิชาการ/อย่างถูกต้อง  เช่นสำนวนที่ว่า 严格地说กล่าว/อธิบายในเชิงวิชาการ)   เช่น 严格地说,鲸鱼不是鱼。หากกล่าวอย่างถูกต้องแล้ว  ปลาวาฬไม่นับว่าเป็นปลา

 

                  โจทย์ข้อนี้เน้นที่การปฏิบัติตน/การกำหนดตัวเอง  ฉะนั้นจึงใช้严格ขยายความการกระทำจึงเหมาะสมที่สุด

 

 

35-36

ตัวเลือกใดในแต่ละข้อไม่เข้าพวกกับตัวเลือกอื่น

下面每题的四个词中,有三个是同类的,找出不同类的一个

 

35.    1.包子                        2.馒头

            3.面条                        4.月饼

 

(包子ซาลาเปา         馒头หมั่นโถว(ซาลาเปาที่ไม่มีไส้)              面条บะหมี่              月饼ขนมไหว้พระจันทร์)

 

เฉลย  ข้อนี้เป็นโจทย์ข้อสอบที่มีความผิดพลาด   เพราะมีคำตอบได้  3 แบบซึ่งล้วนแต่มมีเหตุผลสนับสนุนทั้งสิ้น

                  คำตอบแบบที่1   พิจารณาจากรูปร่างของอาหาร   คำตอบคือ 面条บะหมี่   เพราะรูปร่างเป็นเส้น ส่วนข้ออื่นรูปร่างเป็นก้อน/ชิ้น

                  คำตอบแบบที่2 พิจารณาจากประเภทอาหาร ตอบข้อ4 เพราะ เป็นขนมเฉพาะเทศกาล ส่วนข้ออื่นเป็นอาหารที่หาซื้อทานได้ทุกวัน

                  คำตอบแบบที่3 พิจารณาจากลักษณะของคำนาม คำตอบที่ข้อ1包子 เพราะแปลได้สองความหมาย คือ ซาลาเปา และ กระเป๋า เช่น ประโยค 甜包子不在包子里。ซาลาเปาไส้หวานไม่ได้อยู่ในกระเป๋า   จะเห็นได้ว่าคำแรกแปลว่า ซาลาเปา  ส่วนคำที่สองแปลว่ากระเป๋า  ; ส่วนตัวเลือกข้ออื่น มีได้แค่ความหมายเดียว

                 

36.  1.上来                        2.下来

          3.走来                        4.进来

 

เฉลย  ตอบข้อ3 เพราะ   上来ขึ้นมา   下来ลงมา   进来เข้ามา เป็นกริยาที่บ่งบอกแต่ทิศทางการเคลื่อนที่ แต่ไม่บ่งบอก “ท่าทาง” แต่走来 นอกจากบ่งบอกทิศทางแล้วยังบ่งบอกท่าทาง (เดิน)

 

จากข้อสอบฉบับ มีนาคม พ.ศ.2548

6.______地讲 ,“汉语”和“中国语”意思不一样。

 

      1. 严格                                                2. 严肃

      3. 严厉                                                4. 严重

 

เฉลย  ตอบข้อ1    严格地讲 ,“汉语”和“中国语”意思不一样。

                        (ต.  嚴格地講 ,“漢語”和“中國語”意思不一樣。)

                Yán gé dì jiǎng,    “ hàn yǔ”  hé   “zhōng guó yǔ”  yì sī bù yī yàng。 

                        หากอธิบายอย่างถูกต้อง    คำว่า汉语ภาษาชาวฮั่นกับคำว่า中国语ภาษาจีนความหมายไม่เหมือนกัน

 

5. การใช้สำนวนสุภาษิต

      สำหรับการเรียนสำนวนสุภาษิตจีนนั้นเป็นบทเรียนที่ค่อนข้างลึกซึ้ง   แต่ไม่ได้หมายความว่ายากเกินกว่าความรู้ระดับนักเรียนมัธยมปลาย   นักศึกษาที่เพิ่งจะมาเรียนภาษาจีนได้ปีสองปี  หรือ ใครก็ตามที่เพิ่งจะเรียนสนทนาได้ไม่นาน   เพราะความจริงแล้วทุกวันนี้  คนจีนยังใช้สำนวนสุภาษิตในการสนทนาอย่างแพร่หลาย   ไม่ว่าจะอยู่ในบทสนทนา   ละครวัยรุ่น   เนื้อเพลง  หรือสื่อโฆษณา   เราสามารถพบเห็นและได้ยินสำนวนสุภาษิตจีนได้   นี่อาจเป็นความแตกต่างด้านทัศนคติระหว่างการเรียนสำนวนสุภาษิตสำหรับนักเรียนไทยและนักรเรียนจีน    นักเรียนไทยมักจะรู้สึกว่าสำนวนสุภาษิตเป็นเรื่องที่ไกลตัวและมีโอกาสได้ใช้ไม่มากนัก   ฉะนั้นมักจะตั้งคำถามว่า  “เรียนทำไม หากเราไม่ได้ใช้มัน?”     แต่ในภาษาจีน  มีการใช้สำนวนสุภาษิตอย่างแพร่หลายและไม่เคยตกยุค   ฉะนั้น  การประยุกต์ใช้สำนวนสุภาษิตจีนเข้าด้วยกันกับการสนทนา  การเขียน  จึงเป็นบทเรียนที่จำเป็น  

      สำหรับสำนวนสุภาษิตจีน  หากอธิบายพื้นฐานความเข้าใจบางประการก่อนลงมือเรียนจริงๆจะช่วยให้นักเรียนมองเห็นภาพและลำดับวิธีการเรียนรู้ทีละก้าวได้  เป็นการเรียนที่เห็นเป้าหมายและมองเห็นความสำเร็จเป็นก้าวๆ   ช่วยคล้ายความกังวลและสร้างความมั่นใจได้มาก   นักเรียนจะสามารถบอกตัวเองได้ว่า “สุภาษิตจีนไม่ยาก”

      ในหนังสือเล่มนี้  ผมคงไม่สามารถอธิบายสำนวนสุภาษิตทั้งหมดลงไป  เพราะเนื้อหามันเยอะเสียจนเขียนเป็นหนังสือหลายๆเล่มได้   แต่ผมจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเคล็ดลับบางประการที่เหมาะสำหรับนักเรียนไทย ทั้งในแง่ของการทำข้อสอบ  และการเรียนเพื่อต่อยอดความรู้ในภายภาคหน้าด้วย  

 

สุภาษิตจีนและสุภาษิตไทยคล้ายกันมาก

      ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีภาษาใดในโลกใกล้เคียงกับภาษาไทยเท่ากับภาษาจีน  ทั้งในเรื่องของหลักภาษาและการสร้างสำนวน   ประการแรกเลยคือโครงสร้างที่เหมือนกัน   คำว่าสุภาษิตภาษาจีนใช้คำว่า 成语ซึ่งมีความหมายว่า  คำ/วลีที่สำเร็จรูป   มีความหมายสมบูรณ์ในตัว ฉะนั้นสุภาษิตจีนจึงเน้นความกะทัดรัดโดยประกอบขึ้นมาจากคำแค่สี่พยางค์   สั้นๆและจำง่าย   ส่วนสุภาษิตไทยก็นิยมการใช้ประโยคสั้นๆที่ประกอบขึ้นด้วยคำแค่สี่พยางค์  กะทัดรัดและได้ใจความเช่นเดียวกัน   แถมน่าสนใจมากตรงที่คนจีนและคนไทยสร้างสำนวนด้วยแนวความคิดที่คล้ายกัน    ตัวอย่างเช่น

 

                                          水落石出        น้ำลดตอผุด (สุภาษิตจีนใช้คำว่า  น้ำลดหินผุด)

                                          井底之蛙        กบในกะลา  (สุภาษิตจีนใช้คำว่า  กบในใต้ก้นบ่อน้ำ)

                                          投石引路        โยนหินถามทาง (สุภาษิตจีนใช้คำว่า โยนหินนำทาง)

 

      สำนวนสุภาษิตที่น่าสนใจที่สุดคำหนึ่งสำรหับผม  คือ สำนวนดั้งต่อไปนี้   马马虎虎mǎ mǎ hū hū       (งั้นๆ / งูๆปลาๆ)  สำนวนนี้แสดงให้เห็นว่าคนจีนกับคนไทยคิดอะไรคล้ายๆกัน  คล้ายแม้กระทั้งการจินตนาการ   คำว่า งูๆปลาๆ ในภาษาไทย  มีความหมายว่า ครึ่งๆกลางๆ  รู้ผิวเผิน   ถูกบ้างผิดบ้าง  ส่วนสำนวนจีนคำว่า 马马虎虎 (ม้าๆเสือๆ) ก็ออกจะใกล้เคียง แปลว่า  รู้ผิวเผิน  ครึ่งๆกลางๆ    ประมาณว่าในสำนวนไทยจะเปรียบคนที่ยังรู้ครึ่งๆกลางๆความรู้ยังไม่แน่นเหมือนกับคนที่วาดรูปแล้วดูเป็นงูก็ไม่ใช่ปลาก็ไม่เชิง       ส่วนคนจีนก็เอาไปเปรียบกับคนที่วาดรูปแล้วดูไม่ออกว่าม้าหรือเสือ  สัตว์กินพื้นหรือสัตว์กินเนื้อ 

 

องค์ประกอบของสุภาษิตจีน

      มีสุภาษิตจำนวนไม่น้อยที่ประกอบขึ้นมาจากการคละกันระหว่างสองสำนวน   พูดง่ายๆคือ เกิดจากคำประสมสองพยางค์สองชุดผสมกัน   เหตุที่ผมชอบอธิบายด้วยคำว่า “ คละกัน” เพราะลักษณะของการผสมไม่ใช่เอา ชุดหนึ่งไปต่อกับอีกชุดหนึ่ง  แต่เป็นการผสมกันโดยสับหว่างกันเป็นจังหวะ   อธิบายด้วยคำพูดยากที่จะเข้าใจ   ลองดูตัวอย่างเลยดีกว่า

 

颠三倒四 สับสนวุ่นวายไปหมด  กลับตาลปัด

      เกิดจากการคละกันระหว่าง 颠倒(ผิดข้าง/เซ/เสียรูป+ล้ม)  แปลว่าสลับตำแหน่งจนมั่ว   กับ  三四 (สาม+สี่) ซึ่งเป็นตัวเลขที่มักใช้กับสำนวนที่เกี่ยวกับความผิดพลาด  เช่น  不三不四 เหลวแหลก  แหลวไหล     三翻四覆 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

牛鬼蛇神 ทำตัวลึกลับเหมือนพวกทรงเจ้าเข้าผี  / พิศวงงงงวย(ใช้เมื่อบรรยายถึงเหตุการณ์ที่พิสดาร)

      เกิดจากการคละกันระหว่าง 牛蛇(งู/พวกบูชาผี+วัว/พวกบูชาเทพ) ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์  กับ 鬼神(ผี+เทพ) 

 

提心吊胆 อกสั่นขวัญแขวน

      เกิดจากการคละกันระหว่าง  提吊(ยก/หยิบ + แขวน)  ซึ่งเป็นกริยาทั้งคู่   กับ心胆(หัวใจ + ดี)  ซึ่งเป็นอวัยวะภายในทั้งคู่   *คำว่า  ดี  ในภาษาจีนนอกจากแปลว่า ความหมายตรงตัวว่าถุงน้ำดีแล้ว  ยังหมายถึงความกล้าหรือขวัญกำลังใจด้วย

 

惊天动地 สะเทือนฟ้าดิน  (ใช้เปรียบเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง)

      เกิดจากการคละกันระหว่าง  惊动(ตะลึง + หวั่นไหว)  ซึ่งเป็นกริยาทั้งคู่   กับ天地(ฟ้า + ดิน)  ซึ่งเป็นคำนามทั้งคู่   สำนวนที่ใช้天地ยังมีอีกหลายคำ  เช่น   天崩地裂  ฟ้าถล่มดินทลาย (崩裂แปลว่า ปริแยกออกจากกัน)    天长地久 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย  (长久แปลว่า ยาวนาน)

           

胡作非为กระทำผิดอย่างเหิมเกริม    

      เกิดจากการคละกันระหว่าง胡非(เหิมเกริม+ผิดแปลก)  กับ作为(การกระทำ)  

 

胡编乱造 ประพันธ์มั่วซั่ว / มั่วนิ่ม 

      เกิดจากการคละกันระหว่าง 胡乱(มั่ว)   กับ 编造(เรียบเรียง+สร้าง)  * คำว่า 胡  รากศัพท์จากคำโบราณหมายถึงพวกไว้หนวดรุงรังหรือชายนอกด่าน   (胡人)   และในจีนโบราณ  คนจีนมักเรียกคนนอกด่านเป็นชนชาติที่ป่าเถื่อน ฉะนั้นสำนวนตำหนิความไร้มารยาทหรือความเหิมเกริมมักเปรียบด้วยคำว่า 胡  สื่อความหมายว่า เยี่ยงคนนอกด่าน   การกล่าวถึงกริยาท่าทางที่ไร้สาระก็มักขึ้นต้นด้วย胡แล้วตามด้วยคำกริยา เช่น  胡说เที่ยวพูด  พูดมั่ว    胡闹ทำตัวใช้ไม่ได้/ก่อกวนไร้สาระ;ส่วนชื่อสินค้าการเกษตรหลายชนิดก็มีคำว่า 胡เป็นคำขยายอยู่ด้านหน้า   หมายถึงสินค้าที่มาจากนอกด่าน  เช่น 胡椒พริกไทย   胡萝卜แครอท(คนจีนเรียกมันว่า หัวไช่เท้านอกด่าน    

 

รากศัพท์  จุดเด่น  และเกร็ดน่ารู้ที่ปรากฏอยู่ในสำนวนสุภาษิต

      สำนวนสุภาษิตนั้นประกอบขึ้นจากอักษรเพียงไม่กี่ตัวแต่กินความหมายลึกซึ้ง   ในการสร้างสรรค์ความหมายอันลึกซึ้งมักประกอบด้วยคำสัญลักษณ  เพื่อสื่อความหมายได้ด้วยคำสัญลักษณ์เพียงอักษรตัวสองตัว   ที่มาของคำสัญลักษณ์มักมาจากประสบการณ์และความช่างสังเกต   เช่น 

                        春 ฤดูใบไม้ผลิ    มักหมายถึง พลังชีวิต  หนุ่มสาว  สิ่งมงคล ชื่นชมยินดี

                        秋 ฤดูใบไม้ร่วง  มักหมายถึง  การโรยรา  วัยดึก  สิ่งอัปมงคล  เศร้าโศก

                        春秋อักษรสองตัวรวมกันอาจหมายถึง หนึ่งปี  หรือ เรื่องดีและร้ายที่ผ่านไป 

                        我在中国度过了十八个春秋。

                        ผมผ่านร้อนผ่านหนาวบนแผ่นดินจีนถึงสิบแปดปี

                        *(ความจริงในภาษาไทยก็มีการใช้ฤดูกาลเป็นคำสัญลักษณ์แทนจำนวนปี เช่น คำว่า สิบแปดฝน หมายถึง อายุสิบแปดปีที่ผ่านไปอย่างไม่ง่าย)

                        สำนวนสุภาษิตที่มีคำว่า春และ秋 ปรากฏอยู่มีดังตัวอย่างต่อไปนี้

                        一日三秋 หนึ่งวันผ่านไปด้วยความโศกา

                        满面春风 สีหน้าปรากฏความชื่นชมยินดี

                        四季如春 ทุกฤดูกาลดั่งฤดูใบไม้ผลิ  (หมายถึง  อากาศดีตลอดทั้งปี  และอาจหมายถึงสถานการณ์ดีตลอดทั้งปีด้วย   เช่นพูดเปรียบเปรยว่า

 

                        今年大米行情可以说是四季如春。

                        (ต.今年大米行情可以說是四季如春。)

                        Jīn nián dà mǐ háng qíng kě yǐ shuō shì sì jì rú chūn。  

                        สถานการณ์ของธุรกิจข้าวสารพูดได้ว่าสดใสตลอดทั้งปี

                        เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : 春秋 มีหลายความหมาย  1.ระยะเวลาหนึ่งปี  2. เป็นชื่อยุคสมัยยุคหนึ่งก่อนราชวงค์ฉิน秦 เป็นยุคที่เต็มไปด้วยนักปรัชญา   3.คำโบราณหมายถึง บันทึกประวัติศาสตร์  เช่นคำว่า  吕氏春秋lǚ shì chūn qiū  แปลว่า  บันทึกประวัติแห่งสกุลหลวี่

 

                        ตัวเลขที่ปรากฏในสำนวนสุภาษิต ก็เป็นจุดเด่นประการหนึ่งที่น่าพูดถึง   เพราะตัวเลขหลายตัวนอกจากความหมายในเชิงคณิตศาสตร์แล้วยังสื่อความหมายในเชิงสัญลักษณ์ด้วย    ความจริงลักษณะเด่นตรงนี้ในภาษาไทยก็มีเช่นกัน  เช่น  สำนวนดังต่อไปนี้

                        ร้อยแปดพันเก้า    ในสำนวนนี้    ร้อยและพันหมายถึงความมากมายและซับซ้อน  แทนคำว่าสารพัด

                        สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น  ผู้ชนะสิบทิศ  ในสำนวนเหล่านี้   สิบหมายถึง ทุกๆ  หรือ ทั้งหมด 

                        ทุกข์แสนสาหัส   คำว่าแสนในสำนวนนี้หมายถึง  มากมายเกินพรรณนา(มากกว่าร้อยและพัน)

                                   

                        ส่วนในภาษาจีน  จำนวนตัวเลขมีอิทธิพลต่อการสร้างความหมายในสำนวนสุภาษิตเช่นกัน   ผมจะยกตัวอย่างบางคำที่ได้ยินบ่อยๆในชีวิตประจำวันเพื่อให้นักเรียนคุ้นเคยกับลักษณะสำนวนเหล่านี้    ในอนาคตนักเรียนอาจพบเจอสำนวนยากๆที่ประกอบด้วยตัวเลขเหล่านี้   เพื่อว่าแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็พอจะเดาความหมายได้ใกล้เคียง

 

十เลขสิบหมายถึงความสมบูรณ์  / ที่สุด

                                    十全十美 งามสมบูรณ์แบบ  ไร้ที่ติ

                                    十万火急 เร่งด่วนสุดแสน  (คำว่า สิบหมื่น十万 คือ หนึ่งแสนนั่นเอง)

 

九 เลขเก้าหมายถึงความมากมาย  

 

                                    九牛一毛 ขนหนึ่งเส้นจากวัวตั้งเก้าตัว (แปลว่า เรื่องเล็ก  เรื่องขี้ผง)

                                    九牛二虎之力 พลังขนาดกะทิงเก้าตัวกับเสืออีกสองตัว (แปลว่า ใช้พลังมหาศาล / ไม่ใช่เรื่องง่าย)

                 

                        ตัวอย่างการใช้สำนวนสุภาษิตเหล่านี้

                                    我用了九牛二虎之力才完成了工作。

                        กว่าจะทำงานจนเสร็จผมต้องใช้ความพยายามไปไม่น้อย(งานนี้ไม่ใช่ง่ายๆเลย)

 

七八 เลขเจ็ดและแปดมักปรากฏในสำนวนที่เกี่ยวกับความวุ่นวาย

 

                                    杂七杂八 เรื่องจุกจิกปลีกย่อย

                                    乱七八糟 ยุ่งเหยิงไปหมด

                                    七上八下 ตุ้มๆต่อมๆ  ว้าวุ้น(มักหมายถึงสภาพจิตใจ)

 

                        ตัวอย่างการใช้สำนวนสุภาษิตเหล่านี้

                                    今天杂七杂八的事情太多了

                                    (ต.  今天雜七雜八的事情太多了)

                                    Jīn tiān zá qī zá bā de shì qíng tài duō le 。

                                    วันนี้เรื่องจุกจิกเยอะแยะไปหมดเลย

 

                                    房间被搞得乱七八糟。

                                    (ต.房間被搞得亂七八糟。 )

                                    Fáng jiān bèi gǎo de luàn qī bā zāo。

                                    ห้องถูกทำจนยุ่งเหยิง/รกไปหมด

                                    

                                    朋友还不来使我心里七上八下的,好不舒服。

                                    (ต.  朋友還不來使我心里七上八下的,好不舒服。)

                                    Péng yǒu huán bù lái shǐ wǒ xīn lǐ qī shàng bā xià de, hǎo bù shū fú 。

                                    เพื่อนยังไม่มาอีก  ทำให้ใจของผมว้าวุ้นไปหมด  รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย

 

      เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์  โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามมักถูกหยิบยกมาใช้ในลักษณะสำนวนสุภาษิตจีน  เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นมักจะมีความหมายพิเศษและประเทืองปัญญาสำหรับผู้อ่าน   คนโบราณจึงสรุปเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยลักษณะอักษรสี่พยางค์เพื่อให้จดจำง่าย  กลายเป็นสุภาษิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย   และเท่าที่สังเกตุ   สำนวนสุภาษิตจากประวัติศาสตร์สงครามเหล่านี้  ปัจจุบันถูกใช้ในแวดวงการทำงานและธุรกิจ   เพราะปัจจุบันมนุษย์เราทำสงครามน้อยลงและเชือดเฉือนกันด้วยอำนาจทางธุรกิจมากกว่า

 

            按兵不动 สะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว (หมายถึงนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์  สำนวนนี้ปรากฏบ่อยครั้งในตำราพิชัยสงครามในหลายยุคหลายสมัย)

 

            单枪匹马 หอกเดี่ยวม้าศึกเดี่ยว  (หมายถึงการบุกตลุยคนเดียว  หรือ ฉายเดี่ยว นั่นเอง  สำนวนนี้มาจากการบรรยายถึงขุนศึกที่เก่งกาจ  ทะลวงทัพข้าศึกด้วยตัวคนเดียวเช่น  สามก๊ก ตอน จูล่งฝ่าทัพช่วยอาเต๊า)

 

            过五关斩六将 ทะลวงห้าด่าน พิฆาตหกจอมทัพ (หมายถึงการการะทำอย่างอุกอาจ  ฟันฝ่าอุปสรรคอย่างกล้าหาญ  สำนวนนี้มาจากวรรณกรรมสามก๊ก  ตอน กวนวูผ่าด่านเพื่อไปจากโจโฉ)

 

            四面楚歌 บทเพลงบ้านเกิดในสี่ทิศ  (หมายถึง การถูกล้อมด้วยข้าศึกทุกด้าน    สำนวนนี้ปรากฏในบทละครเกี่ยวกับฌอปาอ๋อง   ตอนที่ทัพแคว้นฉู่ของฌอปาอ๋องถูกล้อมด้วยทัพแคว้นฮั่นของหลิวปัง  แม่ทัพของหลิวปังออกอุบายให้ทหารร้องเพลงบ้านเกิดของชาวแค้วนฉู่  ทำให้ทหารชาวแคว้นฉู่เกิดคิดถึงบ้านเกิดและลูกเมียและนึกรักตัวกลัวตาย  พากันหนีทัพ)

 

            暗渡陈仓 ลอบเข้านครเฉินชาง  (หมายถึงการ  การทำสิ่งหนึ่งให้ข้าศึกตายใจเพื่ออำพรางเจตนาที่แท้จริง  หรือ การลอบโจมตีขณะข้าศึกเผลอ   สำนวนไทยที่ใกล้วเคียงคือ  เล่นทีเผลอ  หรือ ตีไก่ง่วง   สำนวนนี้มาจากตอนหนึ่งของวรรณกรรมสามก๊กเช่นกัน)

 

            逼上梁山 บีบบังคับจนต้องขึ้นเขาเหลียงซาน  (หมายถึง กลายเป็นวีรบุรุษจำเป็น   สำนวนนี้มาจากวรรณกรรมเรื่อง วีรบุรุษเขาเหลียงซาน  ในวรรณกรรมเอกชิ้นนี้  เหล่ากองทัพปฏิวัติฝ่ายเขาเหลียงซานประกอบขึ้นจาก  ขุนศึกที่ถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร   พ่อค้าที่ถูกโกง   หัวขโมย   นักโทษอาญา  คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการก่อการกบฏแต่แรก  แต่ทำไปเพราะถูกบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก)

 

            舌战群儒 ใช้วาจาเอาชนะเหล่านักปราชญ์ผู้รู้   (หมายถึงการแก้ไขสถานการณ์ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยบุคคลระดับเสือสิงกระทิงแรด  สำนวนนี้มาจากวรรณกรรมสามก๊ก  ตอน ขงเบ้งขอเจรจากับซุนกวนเพื่อร่วมกันต้านโจโฉ  โดยขงเบ้งต้องตอบคำถามของเหล่ากุนซือของซุนกวนซึ่งส่วนใหญ่ต้องการจำนนต่อโจโฉ)

 

            走为上计 การหนีคือกลยุทธ์อันเฉียบขาด  (หมายถึง  การหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้  เมื่อไม่แพ้  สักวันจะเกิดมาเป็นผู้ชนะ   สำนวนนี้ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสามสิบหกกลยุทธ์พิชัยสงคราม  ซึ่งกล่าวถึงการใช้ตำราพิชัยสงครามในการชนะศึก)

 

            先发制人 ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ (หมายถึง การทำอะไรตัดหน้าผู้อื่น   สำนวนนี้มาจากตำราพิชัยสงคราม)

 

                        ตัวอย่างการใช้สำนวนสุภาษิตเหล่านี้

                                    他们 按兵不动  是为了观察行情。

                                    (ต.他們 按兵不動  是為了觀察行情。)

                                    Tā men àn bīng bù dòng  shì wéi le guān chá hang qíng。

                                    พวกเขา ไม่ยอมเคลื่อนไหว ก็เพราะต้องการจะสังเกตการณ์สภาพตลาดก่อน

 

                                    王经理单枪匹马 去北京跑了一趟。

                                    (ต.王經理單槍匹馬 去北京跑了一趟。)

                                    Wáng jīng lǐ dān qiāng pǐ mǎ qù běi jīng pǎo le yītàng。  

                                    ผู้จัดการหวังไปวิ่งเต้นที่ปักกิ่งเพียงลำพัง

 

                                    我一直注意着对方的前锋,没想到对方中锋暗渡陈仓,远射破门。

                                    (ต.我一直注意著對方的前鋒,沒想到對方中鋒暗渡陳倉,遠射破門 。)

                                    wǒ yī zhí zhù yì zhù duì fāng de qián fēng ,  méi xiǎng dào duì fāng zhōng fēng àn dù chén cāng,  yuǎn shè pò mén。  

                                    ผมคอยระวังกองหน้าของฝ่ายตรงข้ามมาตลอด  แต่ไม่นึกเลยว่ากองกลางของฝ่ายตรงข้ามเล่นทีเผลอ  ทำประตูโดยการยิงไกล

                                   

                                    我们一定打不过这么多人,走为上计吧!

                                    (ต.我們一定打不過這么多人,走為上計吧! )

                                    wǒ men yī dìng dǎ bú guò zhè mo duō rén   zǒu wéi shàng jì ba!

                                    พวกเราไม่มีทางสู้คนเยอะขนาดนี้ได้หรอก   เผ่นดีกว่า

 

                                    他先发制人,争取到了版权。

                                    (ต. 他先發制人,爭取到了版權。)

                                    Tā xiān fā zhì rén,   zhēng qǔ dào le bǎn quán。

                                    เขาชิงลงมือก่อนได้เปรียบ   ช่วงชิงลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ไปได้