ล่าสุดองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อเป้าหมายการเพิ่มประชากรเสือโคร่งให้ได้ 2 เท่าตามมติของที่ประชุมกลุ่มประเทศอนุรักษ์เสือโคร่ง หลายประเทศยังคงมีตัวเลขประชากรเสือโคร่งเพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยเฉพาะบางประเทศในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงที่เสือโคร่งได้สูญพันธุ์ไปแล้ว
เสือโคร่งเบงกอล (Bengal Tiger: Panthera tigris tigris)
เป็นเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเสือโคร่งทั้งหมดรองจากเสือโคร่งไซบีเรีย มีการกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ในประเทศอินเดีย, เนปาล, บังกลาเทศ และ กระจายในเขตพม่าด้วย สถานะในธรรมชาติถือว่าเป็นสัตว์ ‘ใกล้สูญพันธุ์’ เนื่องจากถูกล่าเพื่อทำหนังมาเป็นเครื่องประดับ และกระดูกอวัยวะนำมาใช้เป็นสมุนไพรตามความเชื่อ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่าเสือโคร่งเบงกอลปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3,000 ตัว
เสือโคร่งไซบีเรีย (Siberian tigers: Panthera tigris altica)
เป็นเสือโคร่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย 20 เหลือเพียงไม่กี่สิบตัว แต่ในปัจจุบันเสือโคร่งไซบีเรียสามารถพบในรัสเซียราว 400 ถึง 500 ตัว พบเพียงเล็กน้อยในประเทศจีนตอนบน และที่เกาหลีเหนือ
เสือโคร่งอินโดจีน (Indochinese tiger : Panthera tigris corbetti)
รูปร่างเหมือนเสือโคร่งทั่วไป แต่มีลายเส้นที่เล็กกว่าเสือโคร่งเบงกอล และมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่า จากการวิจัยทางพันธุกรรมชี้ให้เห็นว่า เสือโคร่งอินโดจีนอาจเป็นบรรพบุรุษของเสือโคร่งทุกชนิด ก่อนที่สายพันธุ์เสือโคร่งจะแตกแขนงเป็นชนิดพันธุ์ต่าง ๆ เมื่อราว 108,000 หรือ 72,000 ปีที่ผ่านมา เสือโคร่งอินโดจีนนับว่าสามารถพบเห็นได้ไม่ยากในพื้นที่ประเทศพม่า ไทย เวียดนาม ลาว ทางตอนใต้ของจีน และกัมพูชา ปัจจุบันรายงานของ IUCN ชี้ว่าเสือโคร่งอินโดจีนเป็นสัตว์พันธุ์ที่อยู่ในสภาวะ ‘ใกล้สูญพันธุ์’ (endangered status) คาดว่ามีเหลืออยู่เพียง 300 ตัวตามธรรมชาติ
เสือโคร่งมลายู หรือ เสือโคร่งมาเลเซีย (Malayan tiger : Panthera tigris jacksoni) พบได้ในป่าดิบชื้นของคาบสมุทรมลายู ได้แก่ รัฐกลันตัน ตรังกานู เปรัก และปะหังในมาเลเซีย รวมทั้งป่าตอนใต้สุดของประเทศไทยกับชายแดนมาเลเซีย โดยมักอาศัยในป่าผืนเล็ก ๆ และแต่ละแห่งมีประชากรเสือโคร่งไม่มาก เสือโคร่งพันธุ์มาเลเซียชอบอยู่ตามป่าเต็งรังที่ต่ำ แต่ก็พบได้ในป่าพรุ ขนาดลำตัว เสือโคร่งมาลายูจะมีขนาดเล็กกว่าเสือโคร่งอินโดจีนเล็กน้อย ปัจจุบันคาดว่าเสือโคร่งมลายูมีจำนวนประมาณ 500 ตัว สาเหตุของการถูกคุกคามเนื่องจากการแผ้วถางป่าเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกิน รวมทั้งการพัฒนาที่ดินเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับเสือโคร่ง เช่นการที่เสือโคร่งบุกเข้ามากินสัตว์เลี้ยงของชุมชน ชาวบ้านจึงต้องจบชีวิตของมัน
เสือโคร่งสุมาตรา (Sumatran tiger : Panthera tigris sumatrae)
มีลักษณะแตกต่างไปจากเสือโคร่งสายพันธุ์อื่น ๆ คือ ขนบริเวณต้นคอจะหนามากที่สุด มีลวดลายมากกว่า บางเส้นอาจแตกเป็นคู่และมีสีเข้มที่สุด ในปี ค.ศ. 1978 มีการสำรวจประชากรเสือโคร่งสุมาตรา บนเกาะสุมาตราได้ราว 1,000 ตัว แต่ปัจจุบัน คาดว่ามีเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการล่าที่รุนแรงมากขึ้น และอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและกระดาษ ที่บุกทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
เสือโคร่งจีนใต้ (South China tiger : Panthera tigris amoyensis)
รูปร่างเหมือนเสือโคร่งทั่วไป แต่มีสีขนที่อ่อนกว่าเสือโคร่งเบงกอล หรือ เสือโคร่งอินโดจีน มีหางสั้นกว่า มีลวดลายที่น้อยกว่า นับเป็นเสือโคร่งชนิดที่มีลวดลายน้อยที่สุด ปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเวลาของเสือโคร่งจีนใต้ได้หมดลงแล้ว เพราะนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ก็ไม่มีใครสามารถบันทึกพวกมันตามธรรมชาติได้อีก แม้ว่าอาจจะมีหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่คาดว่าชนิดพันธุ์ย่อยนี้อาจสูญพันธุ์จากธรรมชาติไปแล้วก็เป็นได้
แต่การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ทุกการกระทำเป็นไปเพื่อความอยู่รอด และหากเรามองย้อนกลับไปจะเห็นว่า ‘เสือ’ คงอยู่มานานแสนนานขนาดไหน แต่พฤติกรรมของเสือกลับไม่เปลี่ยนแปลง กลับกัน มนุษย์เสียเองที่มีความละโมบโลภอยากได้ทั้งทรัพยากรขยายอาณาเขตเกินความจำเป็น ออกล่าสัตว์เพื่อความคึกคะนอง จนสุดท้ายแล้วสิ่งมีชีวิตบนโลกเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่คงเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมลายหายไปตามกฎธรรมชาติเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก: WWF, มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และ วิกิพีเดีย