“เบญจรงค์” ห้องอาหารไทยที่มีชื่อเสียงควบคู่มากับโรงแรมดุสิตธานีอย่างยาวนาน เดิมทีให้บริการอาหารไทยต้นตำรับชาววังแท้ แต่ไม่กี่ปีมานี้ได้มีการปรับโฉมใหม่ โดยนำเสนออาหารไทยร่วมสมัยหลายหลายเมนู ผ่านฝีมือเชฟมอร์เเทิน ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการทำอาหารมากกว่า 12 ปี และเป็นเจ้าของรางวัลดาวมิชลิน 1 ดาว อาหารไทยจากฝีมือชาวต่างชาติจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวมาติดตามกันค่ะ
สำหรับห้องอาหารไทยเบญจรงค์ ที่เรามาลิ้มลองกันในวันนี้ ตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ของโรงแรมดุสิตธานี กรุุงเทพฯ ซึ่งจะเปิดให้บริการถึงวันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2562 เวลา14.00 น.ก่อนจะย้ายไปสถานที่ใหม่ ซึ่งจะเป็นที่ไหน เราจะมาแจ้งที่ตั้งที่ชัดเจนอีกที แต่แว่วมาว่าไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก
เมื่อมาถึงห้องอาหาร เราจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศความเป็นไทยทันที เริ่มจากประตูทางเข้า โครงสร้าง การตกแต่งด้วยลวดลาย การฉลุ ตั้งแต่เพดาน ผนัง จนกระทั่งข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ อีกด้านของห้องอาหารเป็นกระจกใส มองเห็นสวนสวย รายล้อมด้วยต้นไม้ บ่อปลาคาร์ฟและน้ำตก สร้างความผ่อนคลายขณะรับประทานอาหาร
การตกแต่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของห้องอาหารไทยเบญจรงค์แห่งนี้ คือ เสาไม้สักทอง 2 ต้น แต่ละต้นน้ำหนักกว่า 5 ตัน อีกทั้งภาพวาดบนกำแพงยาวกว่า 4 เมตรบริเวณทางเข้าห้องอาหาร ซึ่งเป็นผลงานจิตรกรรมของ ‘ท่านกูฎ’ ไพบูลย์ สุวรรณกูฎ ศิลปินไทยรุ่นแรก ๆ ที่ทำงานศิลปะไทยร่วมสมัย
ชื่นชมบรรยากาศของห้องอาหารไปพอสมควร ถึงเวลาลิ้มลองรสชาติอาหารของที่นี่กันบ้างแล้วค่ะ อาหารของห้องอาหารไทยเบญจรงค์มีให้เลือกทั้งเซตคอร์ส และ a la carte และเปิดให้บริการ 2 ช่วงเวลาคือ มื้อกลางวันและมื้อค่ำ...สำหรับเมนูแรก เป็นเมนูเวลคัมที่สร้างความแปลกใจไม่น้อย
แค่ชื่อก็ทำเอาน่าสนใจแล้ว สำหรับเมนูนี้ไม่มีขายที่ไหน เป็นเมนูเวลคัมของที่นี่เท่านั้น และพริกแกงที่ใช้ปรุงรสนั้นก็เป็นพริกแกงโฮมเมดด้วยนะคะ หอมกลิ่นพริกแกงแถมเข้ากับป๊อปคอร์นได้เป็นอย่างดี ทานเพลินจนลืมรสชาติป๊อปคอร์นทั่วไปเลย
กุ้งลายเสือหมักจนได้รสกลมกล่อมห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ พันด้วยเส้นหมี่ซั่ว ทอดจนสุกสีเหลืองกรอบ ทานคู่กับน้ำจิ้มรูปแบบแปลกตา พอกัดปุ๊บน้ำจิ้มก็แตกโป๊ะในปาก ถือเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่อร่อยเพลินเลยทีเดียว
เนื้อปลาทูน่ายำเข้ากับเนื้อมะละกอสุก ตัวน้ำยำรสออกเปรี้ยวอมหวาน เผ็ดนิด ๆ สไตล์ไทย เพิ่มความหวานมันจากน้ำกะทิลงไป ให้รสชาติที่กลมกล่อมนุ่มนวลมากขึ้น มีความหอมจากกลิ่นของสมุนไพรไทย ตัดสัมผัสด้วยแป้งเกี๊ยวทอดบางกรอบ ที่สำคัญไม่อมน้ำมัน
เมนูนี้เสิร์ฟมาคู่กันระหว่างต้มยำกุ้ง ที่นำกุ้งแกะเปลือกออกจนหมดทำให้สุก แล้วใส่รวมกับเครื่องต้มยำในชาม ก่อนจะเทน้ำซุปตามทีหลัง เพื่อให้ได้กลิ่นหอมของเครื่องต้มยำลอยขึ้นแตะจมูก ซึ่งเมนูนี้สามารถซดน้ำได้เหมือนการซดน้ำซุปตามแบบอาหารยุโรปเลย รสชาติจะไม่หนักมาก แต่ได้รสชาติของต้มยำเต็มคำ
อีกหนึ่งเมนูที่เสิร์ฟมาคู่กัน คือ ยำปลาดุกฟูและคัสตาร์ดรสต้มยำใส่เนื้อปู ด้านบนคือยำปลาดุกฟู รสกลมกล่อม ส่วนด้านล่างเป็นคัสตาร์ดรสต้มยำเนื้อเนียนนุุ่มใส่เนื้อปูก้อนชิ้นโต
2 เมนูนี้ต้องทานพร้อมกัน แต่ไม่ต้องคลุกผสมกันนะคะ เพียงตักจากบนลงล่างให้ทุกอย่างรวมอยู่ในคำเดียวกัน เพื่อความอร่อยที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
กุ้งตัวโตทอดราดด้วยซอสมะขามรสเปรี้ยวหวาน รายล้อมด้วยข้าวเม่าทอดกรอบหอม ที่เห็นเป็นสีเขียวนี้ คือสีของมะกรูด ที่ผ่านกระบวนการทำเป็นผงนำมาคลุกเคล้าจนได้ข้าวเม่าทอดสีสวยอย่างที่เห็น แถมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะกรูดอีกด้วย เมนูนี้ถูกใจคนชอบทานกุ้งแน่นอนค่ะ
ซี่โครงหมูตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่มแล้วนำมาทอดจนกรอบคลุกเคล้าด้วยน้ำซอสรสหวาน เสิร์ฟพร้อมผักดองสไตล์ไทย มองผ่าน ๆ อาจคิดว่ากิมจิ แต่รสชาติแตกต่างกัน ใครที่คิดว่าซี่โครงหมูนั้นยาก กว่าจะเลาะเนื้อออกจากระดูก กว่าจะได้ทาน เหตุการณ์นั้นไม่เกิดกับเมนูนี้แน่นอน เพราะเนื้อหมูที่ติดโครงสามารถเลาะออกมาได้ง่ายมาก แถมมีเทคเจอร์ความนุ่มและกรอบรวมอยู่ด้วยกัน รสชาติโดยรวมเป็นการตัดกันของรสหวาน เค็ม และเปรี้ยวนิด ๆ จากผักดอง
เมนูซิกเนเจอร์ของห้องอาหารไทยเบญจรงค์ ที่ทำเอาลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติติดใจไปหลายคน ความพิเศษอยู่ที่เนื้อคัดพิเศษนำไปผ่านกรรมวิธีเฉพาะเผื่อให้ได้เนื้อที่นุ่ม ซึ่งใช้เวลาตุ๋นยาวนานถึง 72 ชั่วโมงเลยทีเดียว เนื้อที่ได้มีความนุ่ม แทบละลายในปาก เมื่ออยู่ในแกงเขียวหวาน น้ำแกงจะแทรกซึมผ่านเนื้อ เพิ่มความอร่อยเป็นเท่าตัว
มาถึงอาหารคาวเมนูสุดท้าย เอาใจคนชอบรสจัดด้วยเมนูอาหารใต้ แกงปูใบชะพลู เสิร์ฟคู่หมี่หุ้น หรือเส้นหมี่และผักเคียงซึ่งจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล น้ำแกงทำจากพริกแกงโฮมเมดถึงรสถึงเครื่องแบบอาหารใต้ ใส่เนื้อปูชิ้นโตและใบชะพลู ทานคู่กับเส้นหมี่ ตัดความเผ็ดด้วยผักลวกน้ำกะทิ เมนูนี้ได้มีซี๊ดซ๊าดกันบ้างแหละ
อาหารคาวผ่านไป ก็ขอต่อด้วยขนมหวานเลยแล้วกัน สำหรับเมนูขนมหวานของที่นี่ก็โดดเด่นไม่แพ้อาหารคาว เพราะเป็นเมนูขนมหวานที่มีการประยุกต์ส่วนผสมจากขนมไทยและขนมฝรั่ง เริ่มด้วยเมนูขึ้นชื่อของไทย
ชื่ออาจจะไม่แปลกหูแปลกตาสักเท่าไหร่ แต่ที่น่าสนใจคือการดีไซน์เมนูนี้ให้ออกมาตื่นตาตื่นใจ เพราะข้าวเหนียวมะม่วงส่วนใหญ่หน้าตาก็เหมือน ๆ กัน แต่ที่นี่ได้รังสรรค์เมนูข้าวเหนียวมะม่วงให้ออกมาแตกต่าง โดยการนำน้ำกะทิ ที่ปกติเป็นของเหลว ไปผ่านกระบวนการทำให้แข็งตัวด้วยไนโตรเจนเหลว เวลาทานเจ้ากะทิก้อนเล็ก ๆ ก็จะละลายในปากไปผสมกับข้าวเหนียวและเนื้อมะม่วง นอกจากนี้ยังมีไอศกรีมมะม่วงซอร์เบท์รสเปรี้ยวอมหวานเสิร์ฟมาให้ด้วย
เมนูเค้กแนะนำของที่นี่ และหาทานที่ไหนไม่ได้ กาละแมร์สูตรของโรงแรมเนื้อเหนียวหนึบไม่หวานแหลม เสิร์ฟคู่กับเค้กกล้วยหอมไร้แป้งสาลี และไอศกรีมคาราเมลท็อปปิ้งด้วยกล้วยฉาบโฮมเมด เป็นเมนูที่ผสมผสานรสชาติความหวานหอมจากกาละแมร์ กล้วยหอม และคาราเมลได้อย่างลงตัว
ปิดท้ายด้วยเมนูหวานเย็นอย่างไอศกรีม ซึ่งเป็นไอศกรีมรสโหระพาที่ผสมผสานรสเปรี้ยวหวานจากสับปะรด มาพร้อมเนื้อสับปะรอดและครัมเบิ้ลกรุบกรอบ ท็อปปิ้งด้วยซอลท์เมอแรงค์ รสของทุกอย่างเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ใครจะไปคิดว่าใบโหระพาจะนำมาเป็นส่วนผสมในขนมหวานได้ ถ้าอยากรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ต้องมาลองเองนะคะ
ในส่วนของเครื่องดื่มมีให้เลือกหลากหลายแบบ ตัวอย่างเช่น น้ำผลไม้ หรือน้ำสมุนไพร ชา กาแฟ และถ้าใครสั่งชา หรือกาแฟ ทางห้องอาหารจะเสิร์ฟมาพร้อมกับมาการอง ซึ่งมาการองของที่นี่ก็เก๋ไม่แพ้กัน และมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนรสชาติเรื่อย ๆ อย่างวันที่เราไปมีมาการองรสโอเลี้ยงยกล้อค่ะ
ที่ตั้ง : โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ชั้นล็อบบี้
เวลาทำการ : มื้อกลางวัน 11:30 ถึง 14:30 น. ให้บริการวันจันทร์ถึงศุกร์ / มื้อค่ำ 18:00 ถึง 22:00 น. ให้บริการวันจันทร์ถึงอาทิตย์