บทเรียนออนไลน์ วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง เครื่องมือในการศึกษาภูมิศาสตร์
ทีมงานทรูปลูกปัญญา
|
18 ม.ค. 65
 | 88.7K views



ผังมโนทัศน์สาระการเรียนรู้

 

 

 

 

 

   การศึกษาภูมิศาสตร์ต้องอาศัยวิธีการค้นคว้า เทคนิค และเครื่องมือหลายชนิด ที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดคือ แผนที่

1. แผนที่
   แผนที่เป็นเครื่องมือที่แสดงลักษณะของพื้นผิวโลกลงบนวัสดุแบนราบโดยใช้มาตราส่วนและสัญลักษณ์แทนสิ่งที่มีอยู่จริงบนพื้นผิวโลก เพื่อให้อ่านและแปลความหมายของแผนที่นั้นได้ ผู้ใช้จึงควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแผนที่ในด้านด่าง ๆ ดังนี้


   1.1 ชนิดของแผนที่
       1.1.1 การแบ่งแผนที่ตามลักษณะการใช้
          1. แผนที่อ้างอิง (general reference map) ที่สำคัญ ได้แก่ แผนที่ภูมิประเทศ และแผนที่ชุด
          2. แผนที่เฉพาะเรื่อง (thematic map) เช่น แผนที่รัฐกิจ แผนที่แหล่งแร่
          3. แผนที่เล่ม (atlas) เป็นแผนที่ที่รวบรวมแผนที่หลาย ๆ ชนิดไว้ในเล่มเดียวกัน
       1.1.2 การแบ่งแผนที่ตามมาตราส่วนของแผนที่
          1. แผนที่มาตราส่วนขนาดใหญ่ (large scale map) ได้แก่ แผนที่ที่มีมาตราส่วนเท่ากับหรือใหญ่กว่า 1:75,000
          2. แผนที่มาตราส่วนขนาดกลาง (medium scale map) ได้แก่ แผนที่มาตราส่วน 1:75,000ถึง 1:600,000
          3. แผนที่มาตราส่วนขนาดเล็ก (small scale map) ได้แก่ แผนที่ที่มีมาตราส่วนเท่ากับหรือเล็กกว่า 1:600,000


   1.2 องค์ประกอบของแผนที่
       1. ชื่อแผนที่ (map name) เป็นส่วนที่บอกว่าแผนที่นั้นเป็นแผนที่แสดงข้อมูลอะไร เช่น แผนที่ท่องเที่ยว
       2. ชื่อภูมิศาสตร์ (geographic name) คือ ตัวอักษรที่ใช้บอกชื่อเฉพาะที่มีความสำคัญในแผนที่ อาทิ ทวีป ประเทศ รัฐ เกาะใหญ่ คาบสมุทร ภูเขา ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ที่ราบสูงช่องแคบ ทะเลทราย ที่ลุ่มเขื่อน ถนน ท่อน้ำ ท่อแก๊ส แหล่งอารยธรรมโบราณ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ
       3. ทิศ (direction) โดยทั่วไปแผนที่จะแสดงส่วนบนของแผนที่เป็นทิศเหนือเสมอ หากแผนที่ระวางใดแสดงทิศทางที่แตกต่างออกไปจะต้องแสดงเครื่องหมายบอกทิศทางไว้อย่างชัดเจน
       แนวทิศเหนือมีอยู่ 3 ชนิด คือ
       ทิศเหนือจริง (true north) เป็นแนวทิศที่มุ่งตรงไปยังขั้วโลกเหนือ ใช้สัญลักษณ์รูปดาว
       ทิศเหนือแม่เหล็ก (magnetic north) เป็นแนวที่ปลายเข็มของเข็มทิศชี้ในแนวขั้วเหนือของแม่เหล็กโลก ใช้สัญลักษณ์รูปปลายลูกศรครึ่งซีก
       ทิศเหนือกริด (grid north) ได้แก่ แนวทิศเหนือตามเส้นฉากแนวดิ่ง ใช้สัญลักษณ์เป็นขีดตรง มีอักษร GN อยู่ข้างบน
       นอกจากการบอกทิศหลักแล้ว การบอกทิศทางของตำแหน่งหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏในแผนที่สามารถบอกได้อีก 2 แบบ คือ
          1) การบอกทิศทางแบบแบริง (bearing) คือการบอกทิศทางเป็นค่าของมุมในแนวราบ ซึ่งขนาดของมุมแบริงจะมีค่าไม่เกิน 90 องศา
          2) การบอกทิศทางแบบแอซิมัท (azimuth) เป็นมุมที่วัดจากทิศเหนือตามเข็มนาฬิกาไปยังทิศทางเป้าหมาย มุมที่วัดได้จะมีค่าไม่เกิน 360
       4. มาตราส่วน (map scale) หมายถึง สิ่งที่แสดงให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางในแผนที่กับระยะทางจริงบนพื้นผิวโลก นิยมใช้ 3 ชนิด ดังนี้
          1) มาตราส่วนคำพูด (verbal scale) คือ มาตราส่วนที่บอกระยะทางในแผนที่ 1 หน่วย แทนระยะทางจริงบนพื้นผิวโลก
          2) มาตราส่วนเส้น (graphic scale) หรือมาตราส่วนรูปแท่ง (bar scale) คือ มาตราส่วนที่แสดงด้วยเส้นตรงหรือรูปแท่งที่มีตัวเลขกำกับไว้เพื่อบอกความยาวบนแผนที่แทนระยะทางจริงบนพื้นผิวโลก
          3) มาตราส่วนแบบเศษส่วน (representative scale) คือ มาตราส่วนที่แสดงด้วยตัวเลขอัตราส่วน ซึ่งสามารถหาระยะทางจริงได้จากสูตร

 

 

 

 

       5. สัญลักษณ์ (symbol) เป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อแสดงสิ่งต่าง ๆ และจะต้องมีคำอธิบายประกอบ แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
       สัญลักษณ์ที่เป็นจุด (point symbol) ใช้แทนสถานที่ และกำหนดสถานที่ตั้ง

 

 

 

 

 

 

       สัญลักษณ์ที่เป็นเส้น (line symbol) ใช้แทนสิ่งต่าง ๆ ที่มีระยะทาง

 

 

 

 

 

 

       สัญลักษณ์ที่เป็นพื้นที่ (area symbol) ใช้แทนบริเวณพื้นที่ของสิ่งต่าง ๆ

 

 

 

 

 

 

       6. สี (color) ที่ใช้เป็นมาตรฐานในแผนที่มี 5 สี คือ
       สีดำ ใช้แทนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สีแดง ใช้แทนถนนและรายละเอียดพิเศษอื่น ๆ สีน้ำเงิน ใช้แทนบริเวณที่เป็นน้ำสีน้ำตาล ใช้แทนความสูง สีเขียว ใช้แทนพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่การเกษตร



   1.3 แผนที่ภูมิประเทศ
   แผนที่ภูมิประเทศจะแสดงระดับความสูง – ต่ำของภูมิประเทศโดยใช้ระดับทะเลปานกลาง (mean sea-level) เป็นเกณฑ์กำหนดความสูง ในแผนที่นิยมแสดงระดับความสูงไว้ 4 รูปแบบ ดังนี้
       1. เส้นชั้นความสูง (contour line) คือ เส้นสมมุติที่ลากผ่านบริเวณต่าง ๆ ที่มีความสูงเท่ากัน และมีตัวเลขกำกับค่าของเส้นชั้นความสูงนั้น ๆ เสมอ เช่น

 

 

 

 

 

 

       2. การใช้แถบสี (layer tinting) คือ การจำแนกความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศทั้งที่เป็นพื้นดินและพื้นน้ำโดยใช้แถบสี ดังนี้
       พื้นดิน ได้แก่ สีเขียว = ที่ราบ ที่ต่ำ สีเหลือง = เนินเขาหรือที่สูง สีเหลืองแก่ = ภูเขาสูงสีน้ำตาล = ภูเขาสูงมาก สีขาว = ภูเขาที่มีหิมะปกคลุม
       พื้นน้ำ ได้แก่ สีฟ้าอ่อน = ไหล่ทวีป หรือเขตทะเลตื้น สีฟ้าแก่ = ทะเลลึก สีน้ำเงิน = ทะเล หรือมหาสมุทรลึก สีน้ำเงินแก่ = น่านน้ำที่มีความลึกมาก
       3. เส้นลายขวานสับหรือเส้นลาดเขา (hachure) เป็นเส้นขีดสั้น ๆ เรียงกันตามทิศทางลาดของพื้นดิน โดยหากเป็นพื้นที่ชัน จะแสดงด้วยเส้นขีดที่สั้น หนา และชิดกัน หากเป็นพื้นที่ลาดเทมักแสดงด้วยเส้นขีดยาว บาง และห่างกัน

 

 

 

 

 

 

       4. การแรเงา (shading) เป็นการแสดงความสูงของภูมิประเทศ โดยเขียนหรือแรเงาพื้นที่ให้มีลักษณะเป็นภาพสามมิติ หากภูมิประเทศเป็นพื้นที่ชันนิยมแสดงด้วยเงาที่มีสีเข้ม หากเป็นพื้นที่ลาดเทนิยมแสดงด้วยเงาแบบบาง ๆ

 

 


2.เครื่องมือทางภูมิศาสตร์
   2.1 เครื่องมือทางแผนที่
       2.1.1 เข็มทิศ (compass)
       หลักในการทำงานของเข็มทิศ คือ เข็มบอกทิศ (เข็มแม่เหล็ก) จะทำปฏิสัมพันธ์กับแรงดึงดูดของขั้วโลกโดยปลายข้างหนึ่งของเข็มบอกทิศจะชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ
       วิธีใช้ วางเข็มทิศในแนวราบ ให้ปลายลูกศรชี้ไปที่ น หรือ N ซึ่งหมายถึงทิศเหนือก่อนจึงจะอ่านทิศทางของทิศต่าง ๆ ได้

 

 

 

 

 

       2.1.2 เครื่องมือวัดระยะทางในแผนที่ (map measurer)
       เครื่องมือวัดระยะทางในแผนที่ประกอบด้วยลูกกลิ้งที่ปลายติดกับล้อที่เป็นหน้าปัดแสดงระยะทาง บนหน้าปัดมีเข็มเล็ก ๆ ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปตามระยะทางที่ลูกกลิ้งหมุนไป เหมาะสำหรับวัดระยะทางที่คดเคี้ยวไปมา
       วิธีใช้ ตั้งเข็มบอกระยะทางที่ค่าศูนย์ วางเครื่องมือที่จุดเริ่มต้น ถือด้ามเอียง 45 องศากับแผนที่ และหันหน้าปัดเข้าหาตัว กลิ้งลูกกลิ้งไปตามเส้นทางที่ต้องการวัดจนถึงจุดสุดท้ายแล้วจึงอ่านค่าจากหน้าปัด


       2.1.3 เครื่องมือวัดพื้นที่ (planimeter)
       เป็นอุปกรณ์สำหรับหาพื้นที่ของรูป ซึ่งมีเส้นรอบรูปเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้ง มีส่วนประกอบได้แก่ เลนส์ขยาย (tracer lens) แขนของเลนส์ขยาย (tracer arm) ก้อนถ่วงน้ำหนัก (anchor) แขนที่ต่อจากจุดศูนย์กลางของก้อนถ่วงน้ำหนัก (anchor arm) และล้อและมาตรวัดพื้นที่ (roller)

 

 

 

 

 

 

       วิธีใช้ วางก้อนถ่วงน้ำหนักไว้นอกพื้นที่ที่จะหา แต่ต้องสามารถลากจุดหรือเข็มที่เลนส์ขยายผ่านเขตพื้นที่ (เส้นรอบรูป) ที่ต้องการวัดได้สะดวก เมื่อจุดหรือเข็มเคลื่อนที่ไป แขนของเลนส์ขยายจะหุบเข้าหรือกางออก ส่งผลให้ล้อและมาตรวัดพื้นที่เคลื่อนที่ และเมื่อจุดหรือเข็มถูกลากมาบรรจบในจุดเริ่มต้น มาตรวัดพื้นที่จะคำนวณระยะที่ผ่านออกมาและแสดงค่าที่วัดได้บนหน้าปัด



   2.2 เครื่องมือทางภูมิอากาศ
       2.2.1 บารอมิเตอร์ (barometer)
          1. บารอมิเตอร์แบบปรอท (mercury barometer) เป็นแบบที่ใช้กันทั่วไป หน่วยที่ใช้วัดความกดของอากาศ คือ มิลลิเมตรของปรอทและมิลลิบาร์
          2. บารอมิเตอร์แบบตลับหรือแบบแอนิรอยด์ (aneroid barometer) ตรงกลางตลับมีสปริงที่ต่อไปยังคานและเข็มชี้ โดยสปริงจะดึงเข็มชี้ที่หน้าปัดตามความกดอากาศที่เปลี่ยน 
          3. บารอกราฟ (barograph) ใช้หลักการเดียวกับบารอมิเตอร์แบบตลับ แต่ต่อแขนปากกาให้ไปขีดบนกระดาษกราฟที่หุ้มกระบอกหมุนที่หมุนด้วยนาฬิกา 

 

 

 

 

 

 

 

       2.2.2 เทอร์โมมิเตอร์ (thermometer)
          1. เทอร์โมมิเตอร์ธรรมดา (ordinary thermometer) มีปรอทบรรจุอยู่ในหลอดแก้ว สามารถวัดอุณหภูมิที่อยู่ระหว่าง 20 ถึง 50 องศาเซลเซียส
          2. เทอร์โมมิเตอร์สูงสุด (maximumthermometer) มีปรอทบรรจุอยู่ในหลอดแก้วเช่นเดียวกับเทอร์โมมิเตอร์ธรรมดา แต่เหนือกระเปาะบรรจุปรอทขึ้นมาเล็กน้อยจะเป็นคอคอดเพื่อป้องกันปรอทที่ขยายตัวแล้วไหลกลับลงกระเปาะ
          3. เทอร์โมมิเตอร์ต่ำสุด (minimumthermometer) มีเอทิลแอลกอฮอล์บรรจุในหลอดแก้ว และมีก้านชี้โลหะรูปดัมเบลล์บรรจุอยู่
          4. เทอร์โมมิเตอร์แบบซิกซ์ (Six’sthermometer) ลักษณะเป็นหลอดแก้วรูปตัวยู ภายในบรรจุปรอทและแอลกอฮอล์ มีก้านโลหะรูปดัมเบลล์ข้างละ 1 อัน หลอดทางซ้ายบอกอุณหภูมิต่ำสุด หลอดทางขวาบอกอุณหภูมิสูงสุด

 

 

 

 

 

 

          5. เทอร์โมกราฟ (thermograph) ที่นิยมใช้ คือ เทอร์โมกราฟแบบโลหะประกบ และเทอร์โมกราฟชนิดปรอทบรรจุในแท่งเหล็ก ซึ่งสามารถใช้วัดอุณหภูมิของดินได้ด้วย

 

 

 

 

 

 

       2.2.3 ไซโครมิเตอร์ (psychrometer)
       เป็นเครื่องมือสำหรับวัดความชื้นสัมพัทธ์และจุดน้ำค้างในอากาศ ประกอบด้วยเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มแห้งและเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียก โดยใช้ด้ายผูกผ้ามัสลินหุ้มกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียกไว้ ให้ปลายด้านจุ่มในถังน้ำข้างล่าง น้ำจะซึมตามเส้นด้ายขึ้นมาทำให้ผ้ามัสลินเปียก และน้ำในผ้าจะระเหยไปในอากาศ ซึ่งการระเหยเกิดจากความร้อนแฝงในตุ้มปรอททำให้ปรอทหดตัว เทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียกจึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มแห้ง การระเหยของน้ำจากผ้ามัสลินมีส่วนสัมพันธ์กับความชื้นของอากาศ ถ้าอากาศอิ่มตัวน้ำจะไม่ระเหย อุณหภูมิเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียกกับตุ้มแห้งก็จะเท่ากัน ถ้าอากาศแห้งจะเกิดการระเหยของน้ำจากผ้ามัสลิน อุณหภูมิเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียกจะต่ำกว่าตุ้มแห้ง ถ้าอุณหภูมิเทอร์โมมิเตอร์ตุ้มเปียกมีค่าใกล้เคียงกับตุ้มแห้งมากเท่าใด แสดงว่าความชื้นสัมพันธ์มีค่ามาก

 

 

 

 

 

 

       ส่วนไฮโกรมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดความชื้นอากาศแบบต่อเนื่อง ภายในประกอบด้วยเส้นผมซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามปริมาณความชื้นในอากาศ โดยถ้าความชื้นน้อยเส้นผมจะหดตัว แต่ถ้าความชื้นมากเส้นผมจะขยายตัว และไฮโกรมิเตอร์นี้อาจนำไปรวมกับเทอร์โมมิเตอร์ เรียกว่า เทอร์โมไฮโกรมิเตอร์ 

 

 

 

                            

 

 

 

       2.2.5 มาตรวัดลม (anemometer)
       เป็นเครื่องมือวัดความเร็วลม ที่นิยมใช้ คือ มาตรวัดลมแบบลูกถ้วย (cup anemometer) ลูกถ้วยจะหมุนรอบเพลาตามแรงลม จำนวนรอบที่หมุนจะเปลี่ยนเป็นระยะทาง โดยมีหน่วยเป็นกิโลเมตรหรือไมล์

 

 

 

 

 

 

 

       2.2.6 เครื่องวัดฝน (rain gauge)
       เป็นเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝน โดยอุปกรณ์มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ภายในปากภาชนะรองรับมีขนาดแคบและพอดีกับกรวย เพื่อลดการสูญเสียเนื่องจากการระเหย การวัดปริมาณน้ำฝนอาจใช้แก้วตวงหรือหย่อนที่มีมาตรวัดลงไปในขวดแก้วรับน้ำฝน

 

 

 

 

 

 

3.เทคโนโลยีและสารสนเทศในการศึกษาภูมิศาสตร์
   3.1 การรับรู้จากระยะไกล (remote sensing)
   การรับรู้จากระยะไกลเป็นเทคโนโลยีที่ใช้บันทึกคุณลักษณะของวัตถุต่าง ๆ จากการสะท้อนหรือการแผ่รังสีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งการเก็บข้อมูลโดยการรับรู้จากระยะไกลมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้วัดค่าพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อนมาจากวัตถุต่าง ๆ เรียกว่า เครื่องวัดจากระยะไกล (remote sensor) หรือเครื่องวัด (sensor) เช่น กล้องถ่ายรูป เครื่องกราดภาพ (scanner) ยานพาหนะที่ใช้ติดตั้งเครื่องวัด เรียกว่า ยานสำรวจ (platform) เช่น เครื่องบิน ดาวเทียม และผลิตภัณฑ์สารสนเทศที่ได้จากกระบวนการรับรู้จากระยะไกล เช่น รูปถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียม

 

 

 

 

 

 

       กระบวนการและองค์ประกอบของการรับรู้จากระยะไกล ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
          1. การรับสัญญาณข้อมูล ดวงอาทิตย์ (ก) จะกระจายพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก (ข) ซึ่งวัตถุแต่ละชนิดจะดูดกลืนและสะท้อนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ากลับไปยังชั้นบรรยากาศ (ค) ระบบถ่ายภาพจะเก็บข้อมูลโดยใช้เครื่องวัดที่ติดตั้งในยานสำรวจ (ง) ทำให้ได้ภัณฑ์ผลิตข้อมูลที่เป็นรูปภาพหรือข้อมูลเชิงตัวเลข (จ)
          2. การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนำผลิตภัณฑ์ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ (ฉ) ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์สารสนเทศ (ช) เพื่อให้ผู้ใช้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป (ซ)
          สำหรับกระบวนการรับรู้จากระยะไกลในประเทศไทยมีสถานีรับสัญญาณจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรและดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาที่สถานีรับสัญญาณดาวเทียมลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร



   3.2 ชนิดของข้อมูลการรับรู้ระยะไกล
       3.2.1 รูปถ่ายทางอากาศ (aerial photograph)
       รูปถ่ายทางอากาศได้มาจากการนำกล้องถ่ายรูปติดไว้กับอากาศยานที่บินเหนือภูมิประเทศบริเวณที่ต้องการถ่ายภาพ โดยแต่ละภาพต้องครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อนกันประมาณร้อยละ 60 เพื่อใช้ดูด้วยกล้องสามมิติ และภาพแต่ละแนวต้องซ้อนทับกันประมาณร้อยละ 20–30 เพื่อป้องกันพื้นที่บางส่วนขาดหายไป
       กล้องสามมิติ (stereoscope) ประกอบด้วยเลนส์ 2 อัน ซึ่งสามารถปรับให้เท่ากับระยะห่างของสายตาผู้มองได้ ที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ กล้องสามมิติแบบพกพา (pocket stereoscope) และกล้องสามมิติแบบกระจกเงา (mirror stereoscope)
       วิธีใช้ วางแผ่นภาพถ่ายบนพื้นราบ ห่างกันประมาณ 6 เซนติเมตร วางกล้องสามมิติลงบนภาพถ่าย เลื่อนแผ่นภาพที่ซ้อนทับด้านบนไปทางขวาหรือทางซ้ายเพื่อให้รายละเอียดที่ต้องการอยู่ในระยะสายตา จนกระทั่งมองเห็นภาพเป็นสามมิติ
รูปถ่ายทางอากาศจะบันทึกภาพลงบนแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีทั้งฟิล์มขาว–ดำและฟิล์มสี โดยมีความไวต่อแสงในช่วงคลื่นต่างกัน
          1. ฟิล์มชนิดขาว–ดำ มี 3 ประเภท ได้แก่
             1) ฟิล์มออร์โทโครเมติค (orthochromatic film) นิยมใช้บันทึกภาพบริเวณชายฝั่งทะเล และบริเวณที่ต้องการศึกษาพืชพรรณธรรมชาติต่าง ๆ
             2) ฟิล์มขาว–ดำธรรมดา (panchromaticfilm) นิยมใช้บันทึกภาพเพื่อทำแผนที่หรือคำนวณรังวัดพื้นที่
             3) ฟิล์มขาว–ดำอินฟราเรด (black and white infrared film) นิยมใช้บันทึกภาพเพื่อใช้ศึกษาและจำแนกชั้นหิน ตลอดจนการศึกษาร่องรอยโบราณสถานทางด้านประวัติศาสตร์
          2. ฟิล์มสี มี 2 ประเภท ได้แก่
             1) ฟิล์มสีธรรมชาติ (color film) มักใช้บันทึกภาพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและป่าไม้ รวมทั้งการศึกษาทางด้านธรณีวิทยาและธรณีสัณฐาน
             2) ฟิล์มสีผิดธรรมชาติ (false color film) มักใช้บันทึกภาพในการศึกษาทางด้านป่าไม้และเกษตรกรรม


       3.2.2 ภาพจากดาวเทียม (satellite imagery)
       ภาพจากดาวเทียมเกิดจากการบันทึกข้อมูลเชิงตัวเลขจากดาวเทียมที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่อาศัยกระบวนการบันทึกพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อนหรือส่งผ่านของวัตถุแล้วส่งข้อมูลเหล่านั้นมายังสถานีรับภาคพื้นดิน
       ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงแรกของไทย คือ ดาวเทียมธีออส (THEOS) ซึ่งให้ประโยชน์กับประเทศไทยหลายด้าน เช่น ด้านป่าไม้ การเกษตร การทำแผนที่ผังเมือง รวมทั้งการนำไปใช้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       ภาพถ่ายจากดาวเทียมครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่ารูปถ่ายทางอากาศ จึงนำมาใช้เก็บข้อมูลเพื่อทำแผนที่อย่างแพร่หลาย เช่น ใช้ประโยชน์ในด้านธรณีวิทยา อุทกศาสตร์ สมุทรศาสตร์ ทรัพยากรน้ำ ป่าไม้ ที่ดิน เป็นต้น



   3.3 ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System–GIS)
   ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มีวิวัฒนาการมาจากการเขียนแผนที่ลงบนแผ่นใสหลายแผ่น แล้วนำแผ่นใสเหล่านั้นมาทับซ้อนกันบนโต๊ะแสง ทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในพื้นที่ได้ ต่อมาจึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่
       1. ฮาร์ดแวร์ (hardware) ใช้ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล
       2. ซอฟต์แวร์ (software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้ร่วมกับฮาร์ดแวร์เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้ โปรแกรมสารสนเทศภูมิศาสตร์มีรูปแบบการทำงานที่สำคัญ 5 ประการ คือ
          1) การนำเข้าข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูล เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปดิจิทัล
          2) การเก็บข้อมูลและการจัดการข้อมูล เป็นการจัดเก็บข้อมูลให้มีโครงสร้างที่สามารถเรียกใช้ได้สะดวก
          3) การคำนวณและการวิเคราะห์ข้อมูล มีรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมได้
          4) การรายงานผลข้อมูล เป็นการแสดงผลข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผนที่ ตาราง แผนภูมิ
          5) ส่วนสัมพันธ์กับผู้ใช้ โปรแกรมจะต้องใช้ไม่ยาก นำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       3. ข้อมูล (data) ควรเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดยข้อมูลจะถูกเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
          1) ข้อมูลเชิงพื้นที่ เป็นข้อมูลแสดงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ โครงสร้างของข้อมูลเชิงพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลแบบเวกเตอร์ (vector) และข้อมูลแบบราสเตอร์ (raster)
          2) ข้อมูลลักษณะประจำหรือข้อมูลเชิงอธิบายเป็นข้อมูลเชิงตัวเลขหรือเชิงคุณภาพซึ่งบอกลักษณะของข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกันโดยตรง เช่น ข้อมูลการถือครองที่ดิน
       4. กระบวนการวิเคราะห์หรือขั้นตอนการดำเนินงาน ต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้สามารถแสดงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รายงาน แผนที่ ตาราง
       5. บุคลากร บุคลากรในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ประกอบด้วยนักวิเคราะห์หรือผู้สร้างระบบ และผู้ใช้สารสนเทศ



   3.4 ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System–GPS)

 

 

 

 

 

 

   ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก เป็นการนำคลื่นสัญญาณวิทยุและรหัสจากดาวเทียมบอกตำแหน่งมาบอกค่าพิกัดของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก โดยจะส่งดาวเทียมขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เพื่อส่งสัญญาณบอกตำแหน่งการโคจรมายังสถานีควบคุมดาวเทียมภาคพื้นดินและเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียม แล้วนำสัญญาณจากดาวเทียมมาคำนวณหาค่าพิกัดละติจูดและลองจิจูดของตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลกประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ
   1. ส่วนอวกาศ (space segment) ได้แก่ ดาวเทียม ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณ
   2. ส่วนสถานีควบคุม (control segment) ได้แก่ สถานีภาคพื้นดิน ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับดาวเทียม
   3. ส่วนผู้ใช้ (user segment) ได้แก่ เครื่องรับสัญญาณหรือเครื่องระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก โดยจะแปลงสัญญาณและคำนวณหาพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก



   3.5 อินเทอร์เน็ต (Internet)
   อินเทอร์เน็ต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไซเบอร์สเปซ (cyber space) หมายถึง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันไปทั่วโลก โดยอาศัยระบบสื่อสารโทรคมนาคมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งตัวหนังสือ ภาพ และเสียง ซึ่งเป็นบริการข่าวสารข้อมูลโดยหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการจัดเรียงไว้อย่างเป็นระบบเรียกว่า เว็บเพจ (web page) และใช้แอดเดรสเพียงแห่งเดียว เรียกว่า เว็บไซต์ (website)
   วิธีการสืบค้นข้อมูลภูมิศาสตร์ทางอินเทอร์เน็ตง่าย ๆ มี 2 วิธี ดังนี้
       1. การสืบค้นโดยใช้โปรแกรมค้นดู (browser) ที่นิยมใช้คือ โปรแกรมค้นดู Internet Explorer
       2. การสืบค้นโดยใช้โปรแกรมค้นหา (search engine) ซึ่งนิยมค้นหาใน 2 ลักษณะ คือ
          1) ค้นหาจากเว็บไซต์ที่รวบรวมเว็บเพจไว้เป็นหมวดหมู่
          2) การค้นหาโดยสืบค้นจากคำที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ที่ให้บริการ เช่น กูเกิลดอทคอม


       ตัวอย่างรายชื่อเว็บไซต์สำหรับการสืบค้นข้อมูลภูมิศาสตร์
       1. เว็บไซต์ที่ใช้สืบค้นเป็นภาษาไทย เช่น เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เบื้องต้น เช่น https://www.gis2me.com 
       2. เว็บไซต์ที่ใช้สืบค้นเป็นภาษาอังกฤษ เช่น เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เบื้องต้น เช่น ้https://.esrith.com/Eindex.cfm

 

 



แหล่งที่มา : สำนักพิมพ์ วัฒนาพานิช www.wpp.co.th 

 



Thailand Web Stat
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราต้องการให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ เราจึงนำคุกกี้ที่บันทึกการเข้าชม และการใช้งานบนหน้าเว็บไซต์จากเครื่องของคุณมาวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ รวมทั้งนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจคุณยิ่งขึ้น
ยอมรับรายละเอียด
x