จะทำอย่างไรดี ให้ความขัดใจในแต่ละครั้งนั้น ไม่ก่อเป็นการปะทะอารมณ์หรือสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับลูก วันนี้ครูพิมมีขั้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ เลยค่ะ
ยังไม่ต้องพูด ส่งเสียง หรือลงมือทำอะไรทั้งนั้น พยายามควบคุมการหายใจให้เป็นปกติที่สุดก่อนนะคะ
หากว่าเป็นสิ่งที่อันตรายหรือก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น เล่นเลอะของใช้ในบ้าน หรือเล่นน้ำใกล้ปลั๊กไฟ ให้หยุดสิ่งนั้นด้วยการลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้นนะคะ อย่าตวาดหรือบังคับให้ลูกเป็นคนทำ (เพราะเขาจะไม่ทำแน่นอน)
ถ้าเปิดทีวีอยู่ ให้ปิดหรือหรี่เสียง (ป้องกันการระเบิดอารมณ์ของคุณเองนั่นหละค่ะ)
ต้องเป็นคำพูดที่คิดว่าจะทำให้ลูกเข้าใจ ว่าลูกทำอะไรผิด โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายยืดยาว ตัวอย่างในที่นี้เช่น “แม่บอกแล้วใช่ไหมครับว่า อย่าเอาดินมาเล่นในบ้าน ลูกเห็นไหมว่ามันเลอะไปหมดแล้ว” ซึ่งวิธีพูดจะต้องใช้น้ำเสียงปกติ และพูดช้า ๆ ชัด ๆ นะคะ
เช่น “วันนี้ลูกไม่ได้ฟังที่แม่ห้าม เพราะฉะนั้น แม่จะไม่พาออกไปทานไอศกรีมทั้งสัปดาห์นี้” เนื่องจากเด็กเล็กยังไม่มีความเข้าใจทางด้านตรรกะ ดังนั้นการพูดให้เด็กคิดเอง อาจจะไม่ได้ประโยชน์มากนัก และยังเป็นการกดดันเด็กจนเกินไปด้วยค่ะ แต่สำหรับเด็กโต คุณอาจมีเงื่อนไขอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในกรณีที่เกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน เช่น ถ้าของใช้เสีย คุณอาจจะบอกว่า แม่จะต้องหักเงินค่าขนมเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เป็นต้นค่ะ เพราะเด็กวัยนี้จะมีความเข้าใจตรรกะ และความถูกผิดในเบื้องต้นบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ยังไม่เท่าผู้ใหญ่ค่ะ และนี่คือเหตุผลที่เราสอนเด็กด้วยการอธิบายอย่างยืดยาวอย่างไรก็ไม่ได้ผลนั่นเอง
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์และไม่ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ไปมา สิ่งใดที่พูดหรือตั้งเงื่อนไขกับเด็กและตกลงกันไว้แล้ว ก็ควรที่จะเป็นตามนั้น เพราะการที่เราดุบ้าง ปล่อยบ้าง ในสถานการณ์เดียวกัน จะทำให้เด็กไม่เกิดการเรียนรู้ และทำให้การปรับพฤติกรรมในอนาคตยากขึ้นนั่นเองค่ะ
ครูพิม ณัฏฐณี สุขปรีดี
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพเด็กเล็กและการเลี้ยงลูกเชิงบวก
Facebook.com/PimAndChildren