การที่เราคิดจะเลือกเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักอย่างหนึ่งนั้นสัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดก็ย่อมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณาแตกต่างกันไปโดยเราจะต้องคิดถึงข้อดี ข้อด้อย ข้อจำกัดต่างๆนอกเหนือจากเรื่องของความชอบส่วนบุคคลแล้วแต่สำหรับการที่จะเลือกเลี้ยงกระต่ายเป็นเพื่อนนั้น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า "กระต่ายเหมาะสมกับคุณ หรือ คุณเหมาะสมกับกระต่ายหรือไม่" คำถามนี้เป็นคำถามที่เราจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนยังไงลองพิจารณาบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ แล้วคุณจะรู้ว่ากระต่ายใช่คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้องสำหรับคุณหรือไม่ ...
เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยขนปุย จอมซุกซนนี้สำหรับคนไทยนั้นยังถือว่าไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่สำหรับชาวต่างชาตินั้นโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา สัตว์เลี้ยงชนิดนี้กลับได้รับความนิยมอย่างมากมายเพราะว่าเค้ามีความเชื่อที่ว่าเท้ากระต่าย (Rabbit Foot) เป็นสิ่งนำโชคสำหรับพวกเขากระต่ายจึงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมือนกับว่าลึกลับสำหรับคนไทยอีกทั้งในประเทศไทยมีกระต่ายอยู่เพียงไม่กี่สายพันธุ์การที่คุณจะเลือกกระต่ายสักตัวให้สวย น่ารัก และถูกใจจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยอีกทั้งการเลี้ยงกระต่ายก็มีข้อจำกัดในการเลี้ยงอยู่บ้าง ดังที่จะกล่าวต่อไปแต่ถ้าหากคุณกำลังมองหาเพื่อนที่รู้ใจ น่ารัก ขนปุย และที่สำคัญคือ ไม่ส่งเสียงดังคำตอบที่เรานึกถึงก็คือ กระต่ายลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ
· คุณมีเวลาอย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมงหรือไม่
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงกระต่ายสักตัวหนึ่งแล้วกิจวัตรประจำวันที่คุณต้องปฏิบัติให้กระต่ายนั้น ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาพอสมควรทั้งการให้อาหาร เปลี่ยนน้ำสะอาด ทำความสะอาดกรง สางขนสำหรับสายพันธุ์ขนยาวและที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยให้กระต่ายได้วิ่งเล่นอย่างเป็นอิสระบ้างความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการให้อิสระ ไม่ใช่การกักขัง
· คุณมีสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่
สถานที่วางกรงสำหรับกระต่าย ควรเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทตลอดทั้งวัน ไม่ร้อนจัดลมไม่พัดแรง และต้องไม่ชื้นแฉะ เพราะกลิ่นฉี่ของกระต่ายค่อนข้างมีกลิ่นที่แรงยิ่งถ้าผสมกับมูลด้วย ยิ่งไม่น่าอภิรมย์ยิ่งนักและอาจจะเป็นแหล่งที่เพาะเชื้อโรคเป็นอย่างดีดังนั้นกระต่ายจึงไม่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงในบ้านหรือสถานที่ที่ปิดอับฉะนั้นคุณจึงต้องเตรียมสถานที่วางกรงให้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับกระต่าย
· สัตว์เลี้ยงตัวเก่าของคุณพร้อมหรือไม่สำหรับเพื่อนใหม่
สำหรับบางคนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวอยู่แล้ว ต้องการเลี้ยงจะกระต่ายเพิ่มสิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากเป็นพิเศษ เนื่องจากธรรมชาติของสุนัขและแมวสัตว์เหล่านี้ที่มีสัญชาตญาณของการล่าเสมอ (นอกจากสุนัขบางสายพันธุ์แต่แมวนี่คือศัตรูตัวฉกาจของกระต่ายเลย) และกระต่ายมักจะเป็นผู้ถูกล่าเสมอเพราะฉะนั้น มันไม่เป็นการดีแน่ หากคุณมีสุนัขหรือแมวอยู่ก่อนแล้วในบ้านเรื่องนี้มีวิธีแก้ไขหากคุณต้องการนำกระต่ายมาเลี้ยงเพิ่มจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณต้องพิจารณาว่าสุนัขและแมวของคุณ มีนิสัยอย่างไรและน่าจะเป็นอันตรายต่อกระต่ายหรือไม่ ถ้าหากเค้ามีนิสัยไม่ก้าวร้าวและเป็นมิตรการจะเลี้ยงกระต่ายเพิ่มขึ้นอีกสักตัว ก็ไม่เป็นไร ดังนั้นก่อนทึ่คุณจะตัดสินใจเลือกกระต่ายมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวของคุณคุณต้องพิจารณาสัตว์เลี้ยงเดิมก่อนว่าเค้าจะยอมรับเพื่อนใหม่ขนปุยเข้ามาอยู่ด้วยกันในบ้านหรือไม่
· กระต่ายและเด็กน้อยคือเพื่อนซี้กันจริงหรือ
แน่นอน เด็กน้อยน่ารักและกระต่ายน้อยเข้ากันได้อย่างดีเพราะกระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความอดทนในการจับ อุ้ม เป็นอย่างดีกระต่ายจะไม่ทำร้ายเด็ก ๆ อีกทั้งกระต่ายยังเหมาะสมที่จะใช้ฝึกเด็ก ๆให้รู้จักความรับผิดชอบ และทำให้จิตใจของเด็ก ๆ อ่อนโยน แต่ ...ข้อควรระวังสำหรับเด็กน้อยที่ไม่สามารถอุ้มกระต่ายได้อย่างถูกวิธีนั้นจะทำให้กระต่ายดิ้นหลุดมือนั่นอาจทำให้กระต่ายได้รับอันตรายอีกทั้งสองขาหลังของกระต่ายนั้นเป็นขาที่ทรงพลังอย่างมหาศาลกระต่ายอาจจะดิ้นหรือถีบตัวเองออกจากการอุ้ม ทำให้เล็บอันแหลมคมจากขาหลังทำร้ายเด็กๆ ได้ และนี่คือสิ่งที่คุณต้องระมัดระวัง
· นักทำลายและกัดแทะทุกสิ่ง
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ากระต่าย คือ ยอดนักขุด และกัดแทะทุกสิ่งที่ขวางหน้าดังนั้น พรม เฟอร์นิเจอร์สุดหรู สายไฟฟ้า สายโทรศัทพ์ สิ่งเหล่านี้อาจถูกทำลายเสียหายได้ หากคุณไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าคุณยอมรับได้หรือไม่กับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านคุณโดยไม่ได้ตั้งใจของน้องกระต่ายได้
ถึงตรงนี้การเลี้ยงกระต่ายเริ่มไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดแล้วใช่ไหมคุณมีสิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติและคำนึงถึงมากมายคุณพร้อมที่จะเสียเวลาให้กับกระต่ายในแต่ละวันแล้วหรือยังคุณเตรียมการป้องกันความเป็นนักทำลายและกัดแทะของกระต่ายแล้วหรือชีวิตประจำวันของคุณจะต้องเปลี่ยนไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คุณต้องตัดสินใจตรงนี้ให้ได้ก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติที่ดีเหมาะสมกับการเลี้ยงกระต่ายแล้วหรือยังและ ถ้าคำตอบคือ ใช่ กระต่ายก็พร้อมและเหมาะสมสำหรับคุณเช่นกันจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วละที่จะต้องอ่านบทความเพื่อรู้จักกระต่ายให้มากกว่านี้ถ้าพร้อมแล้วก็อ่านบทความต่อไปได้เลย ... ลุย
เนเธอร์แลนด์ ดรอฟ
|
|
น้ำหนักมากที่สุดที่สามารถจดทะเบียนได้ 1.8 กิโลกรัม
สัดส่วนและขนาด
• น้ำหนักในเพศผู้ (พ่อพันธุ์) อายุตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป ไม่เกิน 4 ปอนด์ (1.8 กิโลกรัม)โดยมีน้ำหนักในอุดมคติคือ ไม่เกิน 3 ? ปอนด์ (1.6 กิโลกรัม)
• น้ำหนักในเพศเมีย (แม่พันธุ์) อายุตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป ไม่เกิน 4 ปอนด์ (1.8 กิโลกรัม)โดยมีน้ำหนักในอุดมคติคือ ไม่เกิน 3 ? ปอนด์ (1.7 กิโลกรัม)
• น้ำหนักกระต่ายรุ่น อายุไม่เกินหกเดือน น้ำหนักต้องไม่เกิน 3 ? ปอนด์ (1.6 กิโลกรัม) โดยมีน้ำหนักที่น้อยที่สุดสำหรับประกวด ไม่น้อยกว่า 1 ? ปอนด์ (8 ขีด)
มองจากหน้าตรง หัวมีความกว้าง หน้าผากโหนกลงมาถึงระหว่างตาทั้งสองข้างทำให้แลดูหัวเต็ม มองจากด้านข้าง หัวจะสั้นและหนา หัวกลม หน้าตัด หัวใหญ่สังเกตเห็นได้ชัดเจน ขนาดของหัวต้องสัมพันธ์กันกับลำตัวขนข้างแก้มสามารถตัดแต่งได้เพื่อความสวยงาม
สีตามมาตรฐานที่สมาคมพัฒนาพันธุ์กระต่ายแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ ARBA กำหนดให้มีการประกวดในกระต่ายสายพันธุ์อเมริกันฟัซซี่ลอป มีกลุ่มสีถึง 6 กลุ่มสี ได้แก่ กลุ่มสีพื้น (Self Group) กลุ่มสีขนอะกูติ (Agouti Group) กลุ่มสีเฉด (Shaded Group) กลุ่มสีขาวมีแปดแต้ม (Pointed White Group) กลุ่มขาวลายแต้มสีต่างๆ (Broken Group) และกลุ่มสีอื่นๆ (Wide Band Group)
• สีดำ
• สีบลู (Blue)-เป็นสีเทาเข้ม (สีเรือรบ)เหมือนสีของแมวสีสวาด
• สีขาวตาฟ้า (Blue Eyed White)
• สีช็อกโกแล็ต
• สีไลแลค (Lilac) และ
• ขาวตาทับทิม (Ruby Eyed White)
• สีเชสนัท (Chestnut)-เป็นสีน้ำตาลเชสนัท แซมดำที่ปลายขนเหมือนสีกระต่ายป่า
• สีชินชิลล่า (Chinchilla)-เป็นสีเทาแซมดำที่ปลายขนเหมือนสีตัวชินชิลล่า
• สีลิงซ์ (Lynx)-เป็นสีส้มแซมสีเทาเงิน
• สีโอปอล (Opal)-เป็นสีฟางข้าวขนชั้นในเป็นสีบลู
• สีกระรอก (Squirrel)-เป็นสีเทา แซมบลู หรือเทาเข้มที่ปลายขนเหมือนสีของกระรอก
• สีซาเบิล (Siamese Sable)-เป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม เหมือนสีของสุนัขไทยสีทองแดง
• สีเทาควันบุหรี่ (Siamese Smoke Pearl)-เป็นสีเทาควันบุหรี่
• สีซาเบิ้ลพอยท์ (Sable Point)-เป็นสีครีมทั้งตัว มีแต้มสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีของแมววิเชียรมาศ
• สีกระ (Tortoise Shell)-เป็นสีกระ เหมือนสีของกระดองเต่ากระ พื้นขนออกสีน้ำตาลแต่มีแต้มที่จมูกและขาเป็นสีน้ำตาลที่เข้มกว่า
กระต่ายแคระหูตกฮอลแลนด์ของแอนเดรียน ได้นำเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1976 หรือ พ.ศ. 2519 และได้มีการเสนอให้มีการยอมรับสายพันธุ์นี้ต่อสมาคมพัฒนาพันธุ์กระต่ายของสหรัฐอเมริกาที่งานประกวดกระต่ายสวยงาม ณ ทักสัน ในปี ค.ศ. 1980 หรือ พ.ศ. 2523
กระต่ายไทยจะเป็นกระต่ายที่มีมานานแล้ว มีราคาถูก บางคนเรียกว่า กระต่ายพื้นเมืองลักษณะขนจะสั้น และหน้าจะแหลม มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับกระต่ายที่จะกล่างถึงต่อไป
ชื่อของเจอรี่ วู๊ดดี้นั้นค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับผู้เลี้ยง เป็นอันมาก เนื่องจากไปฟังแล้วคล้ายกับ Jerry Wooly (เจอรี่ วูลลี่) ของต่างประเทศ อันที่จริงแล้ว เป็นคนละพันธุ์กันค่ะเจอรี่ วู๊ดดี้ จะลักษณะคล้ายกับ Teddy ค่ะ แต่ว่า ขนที่หน้าจะสั้นกว่าเล็กน้อยและขนาดเมื่อโตเต็มที่ ตัวจะใหญ่กว่า ปัจจุบันไม่ค่อยมีขายแล้วค่ะภาพข้างล่างเป็นภาพของเพื่อนๆ ทางบ้านค่ะ
อ่านชื่อแล้วเพื่อนๆ อาจจะเกิดอาการมึน เล็กน้อยอันที่จริงแล้ว Woody Toy ชื่อฟังดูมีคำว่า วู๊ดดี้ เหมือนกัน ก็น่าจะคล้ายกับเจอรี่ วู๊ดดี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ กระต่ายพันธุ์วูดดี้ ทอย นี้จะคล้ายกับ Teddy Bear มากกว่า เพราะว่า พัฒนาสายพันธุ์ต่อจาก Teddy Bear โดยทำให้มีขนาดเล็กลงไปอีกมองแล้วคล้ายกับเอา Teddy Bear มาหดให้เล็กลง เพราะว่า หน้าตาคล้ายกับ Teddy Bear เลยค่ะ (แต่ไม่ได้มียีนส์แคระนะคะ เพราะหากมียีนส์แคระนั้น Woody Toy จะผสมกับ Woody Toy ไม่ได้ เพราะว่า จะเกิดลูกที่เป็น peanut ซึ่งเป็นปัญหาจากยีนส์ แคระที่เป็นยีนส์ด้อยมาเจอกัน แต่ปรากฏว่า Woody Toy ไม่ได้ให้ลูก peanut จึงไม่ใช่กระต่ายแคระค่ะ เพียงแค่พัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเท่านั้น)
ลักษณะคือหน้าตาจะเหมือน Teddy Bear เลย แต่หูจะสั้นกว่ามองเห็นคล้ายรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าและเมื่อโตเต็มที่แล้วตัวจะเล็กกว่า Teddy Bear ค่ะ หากเอา Woody Toy และ Teddy Bear ที่โตเต็มที่มาเทียบกัน Woody Toy จะตัวเล็กกว่า เกือบครึ่งเลยทีเดียว
Teddy หรือ Teddy Bear เป็นกระต่ายที่เป็นลูกผสมเช่นกัน และได้พัฒนาสายพันธุ์กันมาต่อจาก เจอรี่ วู๊ดดี้จนค่อนข้างนิ่งในเมืองไทย กระต่ายพันธุ์นี้ จะนิยมเลี้ยงกันมาก เพราะว่ารูปร่างน่ารัก ตัวจะกลมฟู ขนจะฟูยาวประมาณ 4-5 นิ้ว และก็มีราคาไม่แพงเพาะพันธุ์ขึ้นจากฟาร์มในเมืองไทย ต่างประเทศไม่มีค่ะ (ภาพด้านล่างส่วนใหญ่เป็นภาพน้องกระต่าย จากเพื่อนๆ ทางบ้านค่ะ)
พันธุ์
|
ราคา
|
น้ำหนัก เมื่อโตเต็มที่
|
หู
|
ขน
|
อื่นๆ
|
กระต่ายไทยทั่วไป
|
ถูก
ราคา 80-100 |
ประมาณ 4 กิโลกรัม
|
หูยาว หน้าแหลม
|
สั้น ประมาณ ขนหนูตะเภา
|
บางคนเอามาหลอกขาย ว่าเป็นกระต่ายแคระ โดยนำมาขายตั้งแต่ยังไม่หย่านม
|
Lion Head
|
**
|
ประมาณ 2.5 กิโลกรัม
|
หูสั้นกว่า กระต่ายไทยไม่มาก
|
ขนฟูยาว เฉพาะที่หน้า คล้ายแผง คอ สิงโต
|
Lion head ในไทย ไม่ค่อยสวยเหมือนของ นอก มีการพัฒนา สายพันธุ์ขึ้นในเมืองไทยและต่างประเทศ
|
Jerry Woody
|
**
|
2-3 กิโลกรัม
|
หูยาวกว่า Teddy แต่สั้นกระต่ายไทย มักไม่มีขนฟูที่หู
|
ยาว แต่ขนที่หน้า
สั้นกว่าตัว หน้าเล็กกว่า Teddy และ Woody Toy |
ไม่ค่อยมีขายแล้ว
|
Teddy Bear
|
**
|
1-1.8 กิโลกรัม
|
สั้นกว่า กระต่ายไทย แต่ยาวกว่า Woody Toy
|
ยาว (ประมาณ 4-5 เซนติเมตร) ขนจะยาว ปรกหน้าปิดตา และยาวเท่ากันเสมอทั้งตัว
|
นิยมเลี้ยง หาซื้อได้ทั่วไป
|
Woody Toy
|
**
|
ไม่เกิน 1.2 กิโลกรัม
|
หูสั้นสุด
|
ยาวเหมือน Teddy
|
สายพันธุ์ใหม่สุด มีขายแต่ไม่มากเท่า Teddy
|
ลักษณะของเค้าคือเค้าจะตัวเล็กที่สุดในบรรดากระต่ายทั้งหมดที่ได้รับรองสายพันธุ์จาก ARBA และ ตัวจะกลมป้อม หน้าตาดูไปดูมาเมือนแมวอ้วนๆ (ดูแล้วคล้ายชิลชีล่าที่ไม่มีพวงหาง) เพราะว่าหูจะสั้นไม่เหมือนกระต่าย และ ส่วนหัวจะกลมสั้นไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็จะกลมไปหมดทั้งหัวมีแก้มอีกต่างหากแถมส่วนคอจะสั้นเหมือนเอาหัวไปแปะไว้กับตัวไม่มีคอยังไงยังงั้น ตัวกลมมนเรียบตัวเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ
มีรายละเอียดอยู่ที่เว็บนี้ค่ะhttp://www.islandgems.net/dwarfparts.html คลิ๊กเข้าไปดูนะคะ
เค้าจะเปรียบเทียบให้ดูค่ะ ว่าแบบไหนเรียกว่า สวยแบบไหนไม่สวย เช่น หูควรจะตั้งตรงสั้นกลม ไม่โย้หน้าโย้หลังอยู่ในแนวเดียวกันกับขาหน้า เมื่อกระต่ายอยู่ในท่ายืน หัวควรจะกลมตั้งตรงและติดกับตัว ขนหนา แบบในรูปแรก ซึ่งหากใครอ่านภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งก็ไม่เป็นไรค่ะ คลิ๊กเข้าไปดูเลย รูปแรกสุดของแต่ละตารางคือลักษณะที่สวยค่ะรูปอื่นๆในตารางเดียวกัน คือลักษณะไม่สวยที่เอามาเปรียบเทียบให้ดู
สีของ Netherland Dwarf
สีของ Netherland Dwarf มีหลายสีค่ะสีที่ได้รับการยอมรับจาก ARBA จะมีทั้งหมด 35 สีค่ะ เพื่อนๆสามารถจะคลิ๊กเข้าไปดูสี ได้ที่ URL นี้http://www.islandgems.net/compatible-colors.html
ในเว็บที่บอกจะมีสีของ Netherland Dwarf มีรหัสยีนส์ และ สีขนสีตาแสดงให้ดูอย่างชัดเจนอย่างเช่น กระต่ายตัวแรกสุด เค้าก็จะบอกว่า สี Ruby Eyed White นั้น ลักษณะที่ดีคือสีขาวไปหมดทั้งตัว ตาสีแดง แต่ถ้าหากว่า มีส่วนที่ไม่ใช่สีขาวปนมาหรือขนเปื้อนเป็นสีเหลืองๆ เนี่ยก็จะทำให้เป็นข้อด้อยไป เป็นต้น ลองคลิ๊กเข้าไปดูนะคะดีมากๆเลย
ประวัติคร่าวๆ
เรื่องยีนส์แคระ (Dwarf Gene)
การที่ Netherland dwarf มีขนาดแคระ ตัวเล็กนั้น เป็นเพราะว่าเค้ายีนส์พิเศษที่เรียกว่ายีนส์แคระหรือ "Dwarf gene” (ย่อว่าDw) อยู่ ซึ่งยีนส์นี้คือยีนส์ด้อยทำให้มีลักษณะเล็กแคระผิดกระต่ายทั่วไป ซึ่ง ส่วนยีนส์ของกระต่ายขนาดปกติแทนด้วย dw แทนยีนส์เด่นที่ไม่มีปัญหา
1. กระต่ายขนาดไม่แคระจะไม่มียีนส์แคระอยู่ เวลาเขียนเป็นรหัสยีนส์จะเขียนเป็น dwdw
2. กระต่ายแคระจะมียีนส์ธรรมดา จับคู่กับยีนส์แคระเวลาเขียนเป็นรหัสยีนส์จะเป็นDwdw อย่าง Netherland Dwarf ที่เราเห็นลักษณะเล็กตามมาตรฐานเนี่ย เพราะว่าเค้ามียีนส์แคระ คือ Dw ปนอยู่นั่นเอง
3.กระต่ายที่แคระแกร็นผิดปกติ เรียกว่า peanut เวลาเขียนจะเป็นรหัสยีนส์DwDw เพราะว่า ยีนส์แคระเป็นยีนส์ด้อย หากมาเข้าคู่กันเมื่อไร จะเกิดความผิดปกติขึ้น
|
ดังนั้น กรณีที่เอากระต่ายแคระทั้งคู่ มาจับคู่กัน
จะได้ลูกที่เป็น peanut ออกมาค่ะดังภาพ
จะเห็นว่า มีโอกาสได้ลูกที่เป็นกระต่ายผิดปกติ(peanut) 25% กระต่ายแคระ 50% และกระต่ายขนาดธรรมดา 25% พูดง่ายๆ ว่ามีโอกาสได้ลูกผิดปกติถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียว
ดังนั้น กรณีที่เอา กระต่ายแคระและไม่แคระ มาจับคู่กัน
จะได้ทำให้ลูกที่ออกมาไม่มีลูกที่ผิดปกติเลยดังภาพ
จะเห็นว่า มีโอกาสได้ลูกที่เป็นกระต่ายกระต่ายแคระ 50% และกระต่ายไม่แคระ 50% แต่ไม่มี peanut เห็นไหมคะว่าเราสามารถจะเลี่ยงการได้ลูกที่ผิดปกติได้ แล้วยังได้กระต่ายที่แคระในอัตราไม่ต่างจากแบบแรก โดยการไม่เอากระต่ายแคระ มาผสมกัน
เรื่องของ Peanut ความผิดปกติใน netherland dwarf
http://www.islandgems.net/peanuts.html
ดูรูปขวามือในหน้าเว็บนั้นนะคะ นั่นหละ Peanut ตัวที่อยู่บนมือนั่นหละค่ะ
ซึ่งเค้าจะบอกว่า peanut จะมีขนาดประมาณแค่ครึ่งหนึ่งของ dwarf ค่ะ นอกจากตัวเล็กแล้ว ส่วนสะโพกและขาหลัง จะแกร็นอีกด้วยส่วนใหญ่เลี้ยงไม่รอดค่ะ มักอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่า นอกจากจะแย่งอาหารไม่ทันแล้วร่างกายเค้ายังผิดปกติอีกด้วย
มาดูลักษณะกระต่ายพันธุ์ Polish กันดีกว่า
(Photo Credit: http://home.att.net/~polish/index.html)
มีต้นกำเนิดที่เบลเยี่ยมและได้นำเข้าไปที่ อังกฤษ ในปี 1884 เป็นกระต่ายเล็ก ที่มีหูสั้น และ ปลายหูชนกันเพราะขนาดที่เล็กและลักษณะใกล้เคียงกับ Netherland Dwarf จึงมีหลายๆคนสับสนกับ Netherland Dwarf แต่จริงๆ แล้ว เค้าจะใหญ่กว่า Netherland Dwarf เล็กน้อย และหัวไม่กลมมนเหมือน Netherland Dwarf
น้ำหนักประมาณ 1.4 to 1.8 กิโลหรัม
กระต่าย โปลิส ที่ว่าสวยเนี่ย
2. ลักษณะใบหู ถ้าจะให้สวยเนี่ย ลักษณะหูทั้ง 2 ข้างอยู่ชนแนบติดกันและตั้งตรงไม่เอียงเข้า เอียงออกนะคะ ขนสั้นหนา
3. ตาควรจะกลมโต
ขนของ Polish จะเป็นดูเรียบเป็นเงา หน้าจะดูไม่กลมแบนเหมือนกับ Netherland Dwarf ค่ะและเมื่อมองจากด้านข้าง กระโหลก จะมีส่วนโค้งเล็กน้อย จากหูถึงจมูกหูควรจะยาวไม่เกิน 3 นิ้ว โครงควรจะแน่น และ เมื่อยืนโดยวางขาหน้า และขาหลังราบกับพื้นแล้ว สะโพกจะกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย เส้นแนวตัวจะเริ่มจากส่วนหูค่ะไล่สูงขึ้นไปถึงดังภาพข้างบน
ส่วนเว็บนี้ แนะนำค่ะ ขอบอกเป็นวิธีดูว่า Polish ที่สวยเนี่ย มันต้องเป็นยังไง
http://home.att.net/~polish/learn/judging.html ลองคลิ๊กเข้าไปดูนะคะ เค้าจะบอกเลย ว่า ลักษณะไหนสวย เช่นหน้าควรจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ตาห่างแค่ไหนดี หูต้องติดกันยังไง ยาวแค่ไหน เป็นต้นเป็นภาพวาดประกอบเข้าใจง่าย
สีของ Polish ที่เป็นที่ยอมรับของสถาบัน ARBA
ก็คือ สี Black, Blue, Broken, Chocolate, Blue eyed White และ Albino ค่ะ เข้าไปดูได้ที่นี่ค่ะhttp://home.att.net/~polish/learn/pictures.html
http://www.centralpets.com/pages/critterpages/mammals/rabbits/RBT6040.shtml
กระต่ายพันธุ์ Lion Head หรือที่คนไทยเรานิยมเรียกสั้นๆ ว่า Lion ว่ากันว่าเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ค่ะ ซึ่งกระต่ายพันธุ์นี้ พบอยู่ทั่วไปในบ้านเราแต่ว่า ยังไม่ได้รับการรับรองเป็นพันธุ์มาตรฐาน ใน European
หลังจากไม่ได้รับการยอมรับต่อมาได้มีการพยายามจัดตั้งชมรม สำหรับ Lion Head ขั้นในประเทศอังกฤษ ในปี คศ 1996 โดยชั้นชื่อว่า"The National Lionhead Rabbit Club" มีชื่อย่อว่า NALRC และในภายหลังก็มีสมาคมเพิ่มขึ้นในประเทศอเมริกาอีกด้วย ชื่อว่า "North American Lionhead Rabbit Club" โดยก่อตั้งขึ้นในปี 2001 ค่ะ (มีเว็บไซต์ด้วยนะคะเข้าไปดูได้ค่ะที่นี่ค่ะ)
ลักษณะตามมาตรฐานของสมาคม NALRC (North American Lionhead Rabbit Club) คือ
2. หัวต้องใหญ่ ระยะห่างระหว่างตา ต้องกว้าง หัวและตัวควรจะชิดกันไม่เห็นคอ ตาต้องกลมโต
3. หู ต้องสั้น อยู่บนส่วนบนของหัว ต้องตั้ง และ มีขนปกคลุมหู
4. แผงคอเป็นขน Wool คือขนปุย และแผงคอต้องเด่น ทั้งด้านบน และด้านข้างหูต้องมีความยาวของแผงคออย่างน้อย 2 นิ้ว แผงคอต้องเป็นแผงกลมรอบๆหัวส่วนขนตรงหน้าและตัวจะไม่ใช่ขน Wool เหมือนแผงคอค่ะ
แต่ว่ากระต่ายพันธุ์ ไลอ้อน ที่ผสมได้ในเมืองไทยนี้บางตัวเมื่อโตขึ้นมาแล้ว แผงคอไม่ออกก็มีค่ะ หรือบางตัวก็แผงคอไม่ได้รูปสั้นบ้างยาวบ้าง ก็มีค่ะ
ใครที่นิยมไลอ้อนก็เข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้จาก 2 links นี้ค่ะ
1.English Angora
2. French Angora
3. Giant Angora
4. Satin Angora
:ซึ่งพันธุ์ดั้งเดิมก็คือ English และ French Angora ค่ะต่อมาจึงประกาศ Giant และ Satin เพิ่มเข้ามาในปลายคศ 1980 ค่ะ
ลักษณะของแองโกล่า ที่แตกต่างจากพันธุ์อื่นคือ ขนฟูค่ะ และปุยพองเราเรียกขนแบบนี้ว่า Wool ค่ะ
Image Credit: http://home.pacbell.net/bettychu/2003allbreedbisris/BIS.html
พันธุ์นี้จะหน้าตาน่ารักค่ะขนแบบWool นี่จะปุยฟู หนา ปกคลุมไปจนถึงหูเลยหละ ตรงหูจะเห็นเป็นพู่ๆและขนจะคลุมไปขนถึงหน้า และเท้า ซึ่งขนส่วนใหญ่จนนุ่มละเอียดเหมือนไหมและต้องอาศัยการดูแลมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ English Angora นี้จะมีขนาดเล็กกว่าเพื่อนค่ะ โตเต็มที่จะหนักแค่ 2.3-3.2 กิโลกรัม
2. French Angora
พันธุ์นี้ จะดูไม่น่ารักเท่ากับ English Angora ค่ะ เพราะว่า หน้าและหูจะไม่ปุยหน้าตาจะเหมือนกระต่ายทั่วไป แต่ว่าจะปุยที่ตัวค่ะ ส่วนขนWool จะมีขนที่ละเอียดน้อยกว่า English Angora ความยาวตัวจะปานกลาง และเป็นทรงวงรีค่ะเมื่อโตเต็มที่จะหนัก 3.4-4.8 กิโลกรัม
จะเป็นเป็นสีขาวค่ะ โตเต็มที่จะหนัก 3.9 กิโลกรัม
4. The Satin Angora
ขนจะเงา ลักษณะส่วนใหญ่จะไปทาง French Angora ขนจะนุ่มเงาสวย เมื่อโตเต็มที่จะหนัก 3-4.3 กิโลกรัม
นี่คือตัวอย่างขนค่ะ
ส่วนภาพขวามือนี้ คือภาพเปรียบเทียบระหว่าง French Angora และ Angora Satin จะเห็นว่า ตัวขวาจะเงากว่าค่ะ
(Image Credit: http://homepage.sunrise.ch/homepage/pglaus/satinange.htm)
กระต่ายพันธุ์ Dutch นี้ ว่ากันว่า มีมานานมาก ต้นกำเนิดเค้าอยู่ที่ ฮอลแลนด์ค่ะแต่มาฮิตกันที่อังกฤษ ที่นิยมชมชอบกันก็คือ มาร์คกิ้งค่ะ คือลายค่ะจะต้องตรงตามมาตรฐานค่ะ
การเลือก ถ้าจะให้สวยล่ะก็ สีต้องตัดกันเป๊ะๆค่ะระหว่างสีขาวกับสีลาย ตัดกันเป็นเส้นชัดเจน แก้มต้องไม่ตอบ
Halland Lop กับ Mini Lop และ French Lop
ลอปทั้ง 3 พันธุ์นี้ จะหน้าตาคล้ายกันเลยค่ะ แต่ที่จะแตกต่างกันชัดๆก็คือขนาดตัวเมื่อโตเต็มที่ค่ะ โดยที่ Holland Lop จะเป็นลอปที่มีขนาดเล็กที่สุดค่ะใหญ่ขึ้นมานิดก็คือ Mini Lop และ French Lop นี่จะใหญ่กว่าเพื่อน
ทีนี้มาดูขนาดเมื่อโตเต็มที่กันดีกว่าเนอะ
- Holland Lopเมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดประมาณ 1.8 กิโลกรัม ตัวจะเล็กสุดค่ะและหน้าจะกลมกว่า หูสั้นกว่า
- Mini Lopเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาด 2-3 กิโลกรัม
- French Lopเมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาด 4.5 กิโลกรัม ขึ้นไป
แต่ก็ไม่รู้ค่ะ ว่าใครเป็นคนนิยามชื่อเลยทำให้คนเข้าใจผิดสับสนกันไปหมด เนื่องจาก ชื่อว่า "Mini" ที่แปลว่าเล็กคนเลยชอบคิดว่า ลอป ที่เล็กสุด น่าจะหมายถึง Mini Lop แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ
ที่เห็นในเมืองไทยส่วนใหญ่ก็เป็นมินิลอป กับ ฮอลแลนด์ลอปค่ะ
Fuzzy Lop หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแองโกล่าลอป
ลักษณะก็คือกระต่ายหูตก ที่ขนปุยฟู นั่นเองค่ะ
ว่ากันว่า Fuzzy Lop นี้เกิดจากการผสม ระหว่าง Halland Lops กับ Angora ค่ะ แต่บางตำราบอกว่าจริงๆแล้วเกิดจาก Halland Lop เพียงอย่างเดียวค่ะ จนกระทั่งสายเลือดนิ่งและได้รับการประกาศเป็นมาตรฐานโดย ARBA ในปีคศ 1988
การเลือก ควรเลือกที่โครงหัวใหญ่ๆ หูจะต้องมีขนปกคลุม ขนควรจะยาวมากกว่า 2 นิ้วค่ะ
English Lop
เป็นกระต่ายลอปที่เท่ห์สุดๆ นอกจากหูจะตกแล้ว ยังใบหูยาวและใหญ่มองแล้วทำให้นึกถึง โลโก้ของรองเท้า ฮัทพัพพี้ เลยทีเดียว เมื่อโตเต็มที่จะหนักประมาณ 5-5.5 กิโลกรัมเลยทีเดียวค่ะ จัดเป็นกระต่ายขนาดใหญ่ค่ะ
English นี้ยังไม่เคยเห็นมีขายในเมืองไทยเลยหละ :(
Halland Lop
(Photo Credit To: http://animal-world.com/encyclo/critters/rabbits/hollandlop.php)
ลักษณะ
ขอเริ่มจากตัวนี้ก่อนเลยละกันนะคะ Halland Lop เป็น กระต่ายลอปที่ตัวเล็กที่สุดในบรรดาลอปทั้งหมด จะตัวเล็กที่สุดหน้าสวยที่สุด หน้าจะป้านกว่า ลอปพันธุ์อื่นๆ และที่สำคัญ ฮอลแลนด์ลอปนั้นหูจะต้องไม่ยาวมากค่ะ หากวัดจากเส้นขากรรไกรลงมาแล้วไม่ควรยาวเกิน 1 นิ้วค่ะและขนยาวไม่เกิน 1 นิ้ว อุปนิสัยจะขี้เล่นค่ะ ขนาด 1.4 กิโลกรัม ถึง 1.8 กิโลกรัม
สีของ Holland Lop
เพื่อนๆ สามารถจะเข้าไปดูสีของ Holland Lop ได้ที่ URL นี้ค่ะ เค้ามีรูปและรหัสพันธุกรรม ของสีแสดงไว้อย่างชัดเจนค่ะ Click ที่ URL นี้ค่ะhttp://www.mysticalmistminiatures.com/genetics.html
โดยรูปที่เค้าเอามีทั้ง holland lop และ Fuzzy lop (คือ lop ขนยาว) มาแสดง เค้าจะแสดงอย่างชัดเจนเลยคลิ๊กเข้าไปดูนะคะ ดีมากๆ
ดูยังไงว่าสวยไหม
ทีนี้ดูทฤษฎีกันมาแล้ว มาดูเว็บต่างประเทศที่นี่ดีกว่าค่ะเค้าบอกเลยว่าสวย หรือไม่สวย จะดูยังไง คลิ๊กเข้าไปที่ URLข้างล่างกันเลยนะคะแยกวิเคราะห์กันเป็นส่วนๆเลย
1. ลำตัวค่ะ คือไหล่และอกควรจะกว้างแน่นและไหล่เทียบกันช่วงตะโพกควรจะได้ทรงไม่ป้าน
คลิ๊ก URL นี้ค่ะhttp://www.geocities.com/hollandstandard/body.html
2. ส่วนหัว คือ ดูที่ URL นี้เลยhttp://www.geocities.com/hollandstandard/head.html
พูดง่ายๆคือหน้าจะต้องป้าน แก้มป่อง หากลากเส้นระหว่างตา และ จมูกเป็นรูป 3 เหลี่ยมควรจะได้เป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว ซึ่งระยะของฐานสามเหลี่ยม(ระยะของ ตา 2 ข้าง)ควรจะกว้างกว่าระยะจากตามาจมูก หรืออย่างน้อยก็ควรจะเท่ากันพูดง่ายๆคือหน้ายิ่งสั้น ยิ่งป้านยิ่งสวย และระยะห่างระหว่างตาควรจะเท่ากับระยะระหว่างจมูกถึงหัว
3. ส่วนหู ดูที่นี่ค่ะhttp://www.geocities.com/hollandstandard/ears.html
หูจะต้องตกข้างแก้มเลยไม่ใช่กางเป็นปีกแมงปอ หรือว่า ตั้งข้างตกข้าง หูจะต้องกว้างกลม แล้วก็ยาวไม่เกิน 1 นิ้วจากแนวขากรรไกร เค้าจะอธิบายไว้อย่างชัดเจนเลย เว็บนี้ดีมาก
4. ส่วนของ Crown หรือพู่ขนบนหัว Halland lop จะไม่ได้มีพู่ขนที่หัวยาวเป็นไลอ้อนหรอกนะคะและแนวจะอยู่แนวตา กับด้านหลังตาค่ะ ลองเข้าไปดูที่ URL นี้นะคะhttp://www.geocities.com/hollandstandard/crown.html
5. ส่วนของขาหน้า ควรจะตรงค่ะ และหนา ลองเข้าไปดู URL นี้http://www.geocities.com/hollandstandard/bone.html
Minilop
ส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา จะเป็น Mini lop ค่ะ อันที่จริง mini lop จัดอยู่ในกระต่ายขนาดกลางค่ะ สังเกตง่ายๆว่าหูจะไม่สั้นเหมือน Holland Lop และ หน้าจะไม่ป้านเท่าบางตัวหน้าออกแหลมด้วยซ้ำไป และ โตเต็มที่แล้วตัวจะใหญ่กว่า ส่วนใหญ่แล้วตอนเล็กๆหน้าตาจะดูสั้นค่ะ แต่เลี้ยงไปนานเข้าหน้าจะแหลมขึ้น อย่างเจ้าตัวเล็กในรูปด้านล่างเมื่อโตขึ้น หน้าจะไม่กลมแล้วค่ะ จะยาวขึ้นทำให้ส่วนที่ดูเหมือนแก้มหายไป (รูปนี้ถ่ายตอนเด็ก) เช่นเดียวกันค่ะ
ลักษณะที่สวยนั้นหูต้องตกลงข้างแก้มค่ะ ไม่ใช่กางเป็นปีแมงปอ หรือตั้งข้างตกข้าง เมื่อโตเต็มที่ น้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม มีคนบอกว่า Mini lop ฉลาดค่ะ
สีของ Minilop
เข้าไปดูได้จากเว็บต่างประเทศจาก URL นี้ค่ะhttp://www.miniloprabbit.com/images/gallery/index.php?cat=2
และที่นี่ค่ะhttp://www.rossrabbits.freewire.co.uk/colours.htm
1. กลุ่มสี Aguti กลุ่มนี้จะเป็น ยีนส์เด่น
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Agouti.html)
2. กลุ่ม Broken
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Broken.html)
3. กลุ่ม Self กลุ่มนี้เป็น ยีนส์ด้อยค่ะ
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Self.html)
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Shaded.html)
6. กลุ่ม Ticked
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Ticked.html)
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/WideBand.html)
8. และกลุ่มสีอื่นๆที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจาก ARBA ค่ะ
(คลิ๊ก URL: http://www.geocities.com/hoppinherdofhares2003/Nonrecognized.html)
ข้อควรระวังในการเลือกซือ้ lop
เพราะว่า ลอป คือกระต่ายหูตก แต่ว่าเนื่องจากลอปให้ลูกไม่เยอะทำให้บางคนเอาลอปมาผสมกับกระต่ายหูตั้ง และ บางส่วนได้ลดต้นทุนโดยเอากระต่าย ธรรมดามาผสมกับ ลอป เพราะว่า ลอปมีราคาแพง หากได้ลูกหูตั้งก็ขายเป็นกระต่ายธรรมดาหูตกก็มาขายเป็น ลอป เป็นต้น การผสมแบบนี้ไม่ดีค่ะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานที่ออกมามั่วค่ะ กระต่ายบางตัวออกมาหูตั้งข้างตกข้างหรือไม่ก็ไม่ยอมตก เป็นต้น
และทำให้ผู้เลี้ยงบางคนที่ซื้อกระต่ายหูตก ไปเลี้ยงกลับได้กระต่ายหูตกที่มีลักษณะหูตั้งแฝงอยู่ในตัว พอเค้าเอามาผสมกับลอปด้วยกันแทนทีจะได้ลูกหูตก กลับอาจจะออกลูกมาหูตั้งก็ได้
กระต่ายพันธุ์ Rex นั้นไม่เหมือนพันธุ์อื่นๆ เค้าจะมีเสน่ห์ตรงเส้นขนนี่หละค่ะ เส้นขนกระต่าย Rex นั้นใครได้สัมผัส รับรองเลยจะต้องประทับใจ เส้นขนจะหนาแน่นนุ่มเหมือนกับเราเอามือไปลูบบนผ้ากำมะหยี่ ยังไงยังงั้นเลยล่ะค่ะ ขนเค้าจะตั้งขึ้นสั้นเตียนแน่น ความยาวขนควรจะประมาณ 5/8 นิ้ว ลูบแล้วจะนุ่มมือมาก
แต่ว่าลักษณะของกระต่ายผสมและกระต่ายที่เป็น Rex แท้ๆนั้น ตอนเล็กจะดูยากเหมือนกันแต่ยิ่งโตจะยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น เพราะว่าขนกระต่ายผสมจะไม่เป็นกำมะหยี่แน่นเหมือนกระต่าย Rex แท้ๆแล้วราคาก็ต่างกันมากทีเดียว
คนที่ค้นพบเนี่ยเค้าเป็นชาวนาค่ะ และได้มีบาทหลวง ที่ชือว่า Gillet เป็นคนตั้งชื่อกระต่ายนี้ว่าCastor Rexโดยที่มีความหมายคือ
- Castor แปลว่า สีเหมือนตัวบีเวอร์
- ส่วนคำว่า Rex เป็นภาษาละติน หมายถึง พระราชา เชียวนะคะ น่าภูมิใจใช่ม๊า
ชนิด
|
ขนาด
|
สี และหน้าตา
|
Rex
|
เป็นกระต่ายขนาดกลาง
เพศผู้ : 3.6 กิโลกรัม
เพศเมีย: 4 กิโลกรัม |
|
Mini Rex
|
เป็นกระต่ายขนาดเล็ก
เพศผู้ : 1.8 กิโลกรัม เพศเมีย : 2 กิโลกรัม |
ตอนนี้ มีคนสามารถผสม Dwarf Rex ออกมาได้แล้วด้วยนะคะแต่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก ARBA ค่ะ หากใครสนใจ click ดูได้ที่นี่เลยค่ะ (http://lapinrex.free.fr/dwarf.html)
ข้อควรระวังของกระต่าย Rex และ Mini Rex ก็คือขนที่เท้าเค้าจะไม่ยาวหนา ดังนั้นการเลี้ยงหากเลี้ยงบนกรงที่มีพื่นเป็นซี่ลวดอาจจะเกิดปัญหาที่เรียกว่า Sore hock ได้ มากกว่ากระต่ายทั่วไป คือเท้าจะเจ็บเป็นแผล เนื่องจากน้ำหนักตัวที่กดลงบนซี่ลวดที่เป็นพื้นกรงดังนั้นการเลี้ยงควรจะเลือกกรงพื้นทึบจะเหมาะสมกว่าค่ะ
3. สำหรับลูกกระต่ายควรให้หญ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น หญ้าขน หญ้าอัลฟาฟ่า หรือ ทิโมธี ก็ได้ค่ะและหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆ เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ซึ่งถ้าลูกกระต่ายท้องเสีย ถือว่า อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายมากๆและเมื่อลูกกระต่ายอายุ 6 สัปดาห์จึงค่อยเริ่มหัดให้กินอาหารเม็ด แต่ว่า
ที่สำคัญคือ ระยะการเปลี่ยนมากินอาหารเม็ดนี้เป็นระยะที่เสี่ยงแก่การที่ลูกกระต่ายจะท้องเสีย เป็นอย่างมากจึงควรหมั่นสังเกตตลอดว่า ลูกกระต่ายท้องเสียหรือไม่ที่สำคัญในระยะที่เริ่มสอนให้ลูกกระต่ายกินอาหารเม็ด ห้ามไม่ให้เอาหญ้าออกนะคะเพราะว่า การเปลี่ยนอาหารต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะระบบย่อยอาหารของลูกกระต่ายจะปรับตัวไม่ทัน และจะทำให้ท้องเสียได้เช่นกันระยะแรกๆ ควรให้อาหารเม็ดแค่น้อยๆ เพื่อบังคับให้ลูกกระต่ายกินหญ้าไปด้วยแล้วค่อยๆเพิ่มทีหลังทีละนิดค่ะ ในระยะนี้ เราควรป้อน cecotropes หรืออึพวงองุ่นให้ลูกกระต่ายด้วยค่ะ เพื่อเสริมแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยค่ะ
ทำไมเปลี่ยนอาหารปุบปับจึงทำให้ท้องเสีย
นั่นแน่เริ่มเกิดคำถามแล้วใช่ไหมเอ่ยว่าทำไมกระต่ายจึงท้องเสียถ้าเปลี่ยนอาหารแบบทันทีทันใดทีคนอย่างเราๆยังไม่เห็นเป็นไรเลย
สาเหตุก็คือระบบย่อยอาหารของกระต่ายไม่เหมือนคนค่ะ เพราะว่าการย่อยอาหารของกระต่ายจะต้องอาศัยแบคทีเรียชนิดที่เป็นตัวพระเอกที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของกระต่าย มาช่วยย่อยอาหารค่ะแต่การปรับเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัน แบคทีเรียตัวจิ๊ดเดียวก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกันก็เลยทำให้ แบคทีเรียที่ชนิดที่เป็นตัวพระเอกที่ช่วยย่อยเกิดเสียสมดุลย์ขึ้นมาแล้วก็ทำให้แบคทีเรียชนิดที่เป็นฝั่งผู้ร้ายที่เป็นตัวทำให้เกิดโรคเกิดฮึกเหิมขึ้นมา สำแดงเดชเลยทำให้กระต่ายเกิดอาการท้องเสียแบบที่เราเรียกกันน่านหละ
เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนอาหารจึงต้องค่อยๆเปลี่ยนค่ะ ให้เวลาแบคทีเรียพระเอกของเราปรับตัวนี๊ดนึงในการค่อยๆเปลี่ยนเอาอาหารใหม่มาแทนที่อาหารเก่าโดยเริ่มต้นก็ให้อาหารเก่าไปก่อนแล้วเอาอาหารใหม่ผสมลงไปแค่นิดเดียวแล้วค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่เพิ่มขึ้นทีละนิดในมื้อถัดไป จนกระทั่งแทนที่อาหารเก่าด้วยอาหารใหม่ทั้งหมด โดยให้เวลาเค้าปรับตัวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ค่ะ
การให้ผักผลไม้ก็เช่นกัน
ไม่ใช่แค่อาหารค่ะ การให้ผักผลไม้ก็เช่นเดียวกันค่ะ ถ้าลูกกระต่ายยังเล็กในช่วงแรกๆ ยังไม่แนะนำให้ให้ผักและผลไม้ เพราะว่า อาจจะเกิดท้องเสียได้ควรรอให้หญ้าไปก่อน และค่อยๆหัดให้ผักและผลไม้ หลังจากที่ลูกกระต่ายอายุ ประมาณ 3 เดือน โดยการให้ผักผลไม้นั้น ก็ควรจะค่อยๆ ให้แค่ชิ้นเล็กๆ ให้วันละครั้งครั้งละนิด แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณทีละน้อย แบบเดียวกับอาหารเลยค่ะเพื่อให้กระต่ายปรับตัวได้ค่ะ
ทำไมกระต่ายตามธรรมชาติไม่เห็นเป็นไร
ก็เพราะว่า ธรรมชาติไม่เคยเปลี่ยนอาหารกระต่ายแบบฉับพลันค่ะ ธรรมชาติมีฤดูกาลและเมื่อฤดูกาลหนึ่งกำลังเปลี่ยนไป ฤดูกาลใหม่ก็จะค่อยๆเข้ามาแทนที่กระต่ายก็มีเวลาที่จะปรับตัวทีละน้อยๆ ไปตามธรรมชาติ
เอาล่ะค่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ว่าจะเลี้ยงกระต่ายแล้วก็อยากจะเลี้ยงให้ดีที่สุด วันนี้มีข้อมูลมาฝากค่ะ
จะเลือกซื้ออุปกรณ์ต่างๆ อย่างไรดี 1. กรง
อันนี้สำคัญค่ะ การมีกรงที่เหมาะสมก็จะทำให้กระต่ายมีความสุขค่ะ เพราะอย่าลืมว่า กระต่ายส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรงมากกว่าข้างนอก ดังนั้นกรงควรจะสะอาด ระบายอากาศดี และมีความกว้างขวางเพียงพอค่ะนอกจากนี้เราควรจะเลือกกรงที่เป็นพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ เพราะว่า อย่างที่เรารู้กันกระต่ายต้องกินอึบางชนิดกลับเข้าไป (เพราะเป็นสัตว์กินพืช เมื่อกระต่ายกินอาหารเข้าไปซึ่งจะย่อยยาก แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ตอนต้นของกระต่าย จะทำการผลิตวิตามินที่มีประโยชน์ให้กับกระต่าย ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์จากแบคทีเรียกนี้บางส่วนจะโดนขับออกมา กับอึของกระต่าย ซึ่งได้แก่ โปรตีน และวิตามิน B ซึ่งบางครั้งกระต่ายจะต้องกินกลับเข้าไปเพื่อรักษาสมดุลย์ธรรมชาติของร่างกายเค้าค่ะ) หากเราเลี้ยงแบบที่พื้นเป็นซี่กรงอึนี้จะตกลงไประหว่างซี่กรง ทำให้กระต่ายไม่สามารถจะกินได้ค่ะดังนั้นการเลี้ยงในกรงพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ การเลือกกรงที่ดีนั้นกรงควรจะใหญ่กว่าตัวกระต่ายประมาณ 4 เท่า จึงจะดีค่ะ ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่ายเล็กคือประมาณ 25 X 35 นิ้วค่ะ ส่วนกระต่ายโต ขนาดประมาณ 30 X 35 นิ้วค่ะ เราควรจะเลือกกรงที่ไม่เตี้ยเกินไปเพื่อให้กระต่ายสามารถจะยืน 2 ขาได้ 2. กระบอกน้ำจะช่วยให้กระต่ายมีน้ำที่สะอาดกิน เราไม่ควรจะใส่น้ำลงในภาชนะ เพราะว่า เศษอาหารอุจจาระ และผักหญ้า อาจจะตกหล่นลงไปในน้ำ จะทำให้เน่าเสียและทำให้กระต่ายท้องเสียอีกด้วย การเลือกซื้อกระบอกน้ำเราควรจะซื้อกระบอกน้ำอย่างดีไปเลยค่ะ อย่ามัวเสียดาย เพราะว่ากระต่ายตัวนึงมีอายุขัยตั้งเกือบ 10 ปี เราซื้อกระบอกน้ำอย่างดี ใช้นานๆแบบไม่มีปัญหาการรั่วซึม ดีกว่าค่ะ เพราะว่าอากาศบ้านเรานั้น ร้อนมากหากกระบอกน้ำไม่ดี น้ำไม่ไหล อาจจะทำให้กระต่ายตายได้นะคะ 3. ภาชนะใส่อาหารควรเลือกแบบที่เป็นเซรามิกซ์หรือดินเผาจะดีกว่า เพราะว่า คว่ำยาก ค่ะ เวลาน้องกระต่ายหงุดหงิดเค้าไม่สามารถจะเอามาเหวี่ยงหรืองัดให้คว่ำได้ยิ่งถ้าเราเลือกเซรามิกซ์ที่ขอบงุ้มเข้ามาแบบในภาพซ้ายมือจะยิ่งดีค่ะอาหารจะหกยากกว่า ส่วนภาพทางขวามือ ที่เป็นภาชนะพลาสติกจะไม่ดีค่ะ เพราะว่าเบาหากเราแขวนไม่ดี โดนน้องต่ายคว่ำได้ง่ายๆ 4. อาหารปัจจุบันมีอาหารกระต่ายหลายๆแบบขายกันอยู่ทั่วไปทางที่ดีที่สุดเมื่อเราซื้อกระต่ายกลับมาใหม่ๆ เราควรจะถามเจ้าของเดิม (หรือคนขาย)ว่า เดิมกระต่ายกินอาหารอะไรอยู่เมื่อเราเอามาเลี้ยงเราไม่ควรจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารชนิดใหม่ในทันที เพราะว่ากระต่ายจะท้องเสียได้การเปลี่ยนอาหารไปเป็นอาหารแบบอื่นๆ นั้นควรจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะคือค่อยๆผสมอาหารใหม่เข้ามาในอัตราส่วนน้อยๆแล้วค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนขึ้นทีละนิดๆ จนแทนที่อาหารเก่าในที่สุดแต่ทั้งนี้ต้องอาศัยเวลาเพื่อให้กระต่ายปรับตัวค่ะ อาหารแบบที่ราคาถูก อาหารแบบต่างประเทศ ราคาจะสูงกว่า 5. หญ้าจำเป็นมากค่ะ สำหรับกระต่ายเพราะว่า มีใยอาหารและช่วยรักษาสมดุลย์ของระบบย่อนอาหาร ของกระต่ายค่ะ สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่มีเวลาออกไปตัดหญ้าเอง เราก็สามารถจะเก็บหญ้าขนได้ทั่วไปค่ะหาได้ตามแหล่งรกร้างข้างทาง โดยเฉพาะชานเมือง(การตัดหญ้าควรจะเลือกหญ้าที่สะอาดไม่ปนเปื้อนสารเคมี หรือ ยาฆ่าแมลงนะคะไม่มีราขึ้น) แต่หากเพื่อนๆท่านใดไม่สามารถจะไปหาเองได้ก็อาจจะซื้อหญ้าแห้งสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ
6. รางใส่หญ้าควรจะมีค่ะเพื่อสุขภาพอนามัยค่ะ เราควรจะมีรางใส่หญ้าแขวนไว้ข้างกรงด้วยเสมอ เพราะว่ากระต่ายเป็นสัตว์ฟันแทะ และอาหารหลักของเค้าไม่ใช่อาหารเม็ดนะคะอาหารเม็ดถ้ากินมากไป จะทำให้กระต่ายอ้วน และยังทำให้สมดุลย์ของแบคทีเรียเสียค่ะกระต่ายจะสุขภาพไม่ดี เราจึงควรจะมีหญ้าใส่ไว้ให้กระต่ายกินได้ตลอดเวลาเหมือนที่เค้าอยู่ตามธรรมชาติค่ะ รางใส่หญ้าจะช่วยให้กระต่าย มีหญ้าที่สะอาดกินโดยแขวนไว้ข้างกรง กระต่ายจะมาดึงหญ้าจากรางกินถ้าเราวางไว้กับพื้นหญ้าจะโดนย่ำไปมาจนช้ำเสีย และยังเปื้อนอึ และฉี่ของกระต่ายซึ่งหมักหมมเชื้อโรค และทำให้กระต่ายมีสุขภาพไม่ดีอีกด้วย
7. แปรงสำหรับกระต่ายขนยาวเราควรจะมีแปรงเพื่อใช้ในการหวีสางขนไม่ให้พันกัน แปรงสำหรับกระต่ายประเภทขนยาวปุยควรเลือกแปรงลักษณะปลายลวดแบบนี้ค่ะ เพราะจะหวีสางขนได้พองสวยกว่า 8. ก้อนเกลือแร่ช่วยเสริมแร่ธาติและแคลเซี่ยมให้กระต่าย วิธีใช้คือวางไว้หรือแขวนไว้ที่กรงค่ะกระต่ายจะมาเลียเอง เหมาะสำหรับกระต่ายวัยเจริญเติบโต หรือกระต่ายที่กำลังตั้งครภ์ค่ะ การเลือกก้อนเกลือแร่ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกันนะคะ ควรเลือกก้อนเกลือแร่แบบที่มีที่แขวนติดกับข้างกรงค่ะ (อย่างในภาพบน) จะได้ไม่เปื้อนเลอะเทอะเลอะฉี่น้องต่าย หรือ โดนเหยียบจนเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรค
<-- แบบนี้ไม่ดี ไม่มีที่แขวนค่ะ ต้องวางที่พื้นกรงจะสกปรก 9. คอกออกกำลังกายเหมาะสำหรับการออกกำลังกายนอกกรงค่ะ คอกจะช่วยกำจัดกระต่ายให้วิ่งเล่นอยู่ในพื้นที่ๆ ปลอดภัย เช่น ห่างจากสายไฟในบ้านเป็นต้น (อันนี้ใครไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่เวลาปล่อยน้องกระต่ายวิ่งเล่นต้องคอยดูแลเค้าด้วยนะคะ)
10. ไม้ลับฟันเพราะว่ากระต่ายเป็นสัตว์ฟันแทะ ฟันจะยาวออกมาตลอดชีวิตดังนั้นเพื่อนๆ ควรจะมีไม้ลับฟันเพื่อให้กระต่ายเอาไว้ลับฟันของเค้าค่ะอาจจะหาซื้อเอาก็ได้ค่ะ หรือหากจาไม้ธรรมชาติก็ได้โดยเลือกไม้ที่สะอาดไม่ปนเปื้อนสารพิษ หรือยาฆ่าแมลง ไม่มียาง ไม่เป็นพิษและไม่มีเสี้ยนค่ะ
11. วิตามินสำหรับช่วงเวลาที่แม่กระต่ายตั้งท้องหรือเวลาที่ต้องการบำรุงกระต่ายอาจจะให้ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าถามว่าจำเป็นหรือไม่ นั้นวิตตามินรวมอาจจะไม่จำเป็น หากเราให้อาหารที่มีคุณค่ากับกระต่ายตลอดอยู่แล้ว
12. ขนมอย่าง Stick หรือ ขนมอื่นๆสำหรับกระต่ายเราอาจจะให้กระต่ายได้ค่ะ เช่นใช้เป็นแรงจูงใจในการฝึกหรือเป็นอาหารเสริม แต่ว่า ขนมเหล่านี้ไม่ได้เป็นอาหารหลักนะคะ ถ้าให้มากเกินไปกระต่ายจะอ้วนค่ะ และสมดุลย์อาหารของกระต่ายจะไม่ดี 13. สายจูงผู้เลี้ยงบางคนก็อาจจะอยากพากระต่ายไปเดินออกกำลังกาย อาจจะใช้สายจูงก็ได้แต่กระต่ายไม่เหมือนสุนัขนะคะ เค้าไม่สามารถจะป้องกันตัวเองจากผู้ล่าได้หากเราเอากระต่ายไปเดินเล่น โดยใช่สายจูง อย่าลืมว่าต้องคอยระวังเค้าด้วยนะคะอย่าให้สุนัข แมว หรือสัตว์อื่นมาทำอันตรายเค้าได้
|
เพศ เมีย - เมีย
ข้อดี ข้อเสีย
2. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ออกลูกดก สามารถจะออกลูกได้ปีละ 5 ครอกเลยทีเดียวแต่ละครอกอาจจะมีมากถึง 8 ตัวเป็นต้น ดังนั้นหากท่านคิดจะเลี้ยง ควรจะคิดให้ดีว่าจะทำอย่างไรกับลูกกระต่าย หากท่านไม่อยากรับภาระเรื่องลูกกระต่ายท่านควรจะเลือกเลี้ยงกระต่ายเป็นเพศเมียทั้งหมด
3. กระต่ายเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารและกินอาหารเม็ดด้วยเช่นกัน แต่เพื่อสุขภาพที่ดี ท่านต้องให้อาหารจพวกผัก และผลไม้แก่กระต่ายด้วย
4. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ขับถ่ายเยอะ ปัสสาวะ และอุจจาระหากไม่ได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีพอ
จะมีกลิ่นค่อนข้างมาก
5. กระต่ายเป้นสัตว์ที่สุภาพ น่ารัก สะอาด ตัวของกระต่ายจะไม่มีกลิ่นเหม็น
6. กระต่ายไม่ส่งเสียงร้องพร่ำเพรื่อท่านสามารถจะเลี้ยงในบ้านหรืออพาร์ตเมนท์ได้
7. กระต่ายก็เหมือนกับคนค่ะเจ็บป่วยได้ แต่ว่าหมอที่รักษากระต่ายได้นั้น ควรจะเป็นคุณหมอที่รู้จักกระต่าย ดีพอไม่ใช่คลินิคสัตวแพทย์ทั่วไป ดังนั้นค่าใช่จ่ายในการรักษาก็มีเช่นกัน หากเค้าป่วยเพื่อนๆ สามารถจะรับผิดชอบ พาเค้าไปหาหมอได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ อย่าเลี้ยงเลยค่ะสงสารเค้า
ภาษากระต่าย
1. กระต่ายไม่ค่อยร้อง และสื่อสารกันด้วยกลิ่น
ถึงแม้ว่ากระต่ายเป็นสัตว์สังคมแต่ว่าพวกเค้าไม่มีการทักทายกันที่ส่งเสียงดังเหมือนเดียวกับสัตว์อื่น ๆ เช่นสุนัขหรือแมว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเค้า เป็นผู้ถูกล่าและการส่งเสียงดังนั้นย่อมเป็นการบอกให้สัตว์ต่าง ๆที่เป็นผู้ล่านั้น
รู้ถึงตำแหน่งของพวกเค้า ดังนั้นเค้าจะเงียบและใช้กลิ่นในการสื่อสารกันเสียส่วนใหญ่ค่ะ ซึ่งการใช้กลิ่นสำหรับกระต่ายนั้นสำคัญมากค่ะ และกระต่ายมีจมูกที่ไวมาก นับเป็นการสื่อสารที่พัฒนาไปมากที่สุดของกระต่ายก็ว่าได้
ซึ่งทำให้การแสดงออกต่างๆ ของกระต่ายนั้น มักจะไม่ทำให้เจ้าของสังเกต เพราะว่าการแสดงออก ถึงความอ่อนแอหากอยู่ในธรรมชาติ เค้าจะตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูได้ง่าย และด้วยความที่เค้าไม่ร้องเลยทำให้เราคาดคะเนได้ยากว่าเค้าต้องการอะไร หรือป่วยหรือไม่
2. การส่งเสียงร้อง
4. อาการแสดงความเหนือกว่า
หรือบางครั้งการกระทืบเท้าก็เป็นการแสดงให้เราเห็นว่าเค้าไม่พอใจอะไรบางอย่าง และ พยายามเรียกร้องให้เราทำอะไรให้ เช่นอยากได้อาหารเพิ่ม เป็นต้น
กระต่าย โดยเฉพาะเพศผู้เราจะเห็นบ่อยว่าเค้าชอบเอาคางถูกับโน่นนี่ ไม่ว่าจะเป็นรอบๆบ้าน หรือว่ากับของในกรง กระต่ายทั้งสองเพศต่างก็มีลักษณะนิสัยนี้เหมือนกันแต่กระต่ายตัวผู้นั้นอาจจะกระตือรือร้นมากหน่อยและอาจมีคางที่ชื้นและเหนียว
เนื่องจากการหลั่งสารของต่อมกลิ่นของเค้าซึ่งอยู่บริเวณนั้น
เค้าทำเครื่องหมายบ่งบอกพื้นที่ของเค้าเพราะว่ากระต่ายจะมีต่อมกลิ่นอยู่บริเวณหัว และเค้าจะเอาต่อมกลิ่นนี้ไปถูกับสิ่งของ ที่เค้าคิดว่าอยู่ในอาณาเขตเค้าเพื่อประกาศให้กระต่ายตัวอื่นรู้ว่าเค้าเป็นเจ้าของนอกจากนี้ยังใช้เป็นการจำแนกเพื่อนสมาชิกกระต่าย ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันอีกด้วยเหมือน ๆ กับการที่สมาชิกในกลุ่มเดียวกันจะมีป้ายชื่อหรือเสื้อผ้าที่บ่งบอกถึงกลุ่มที่ตัวเองอยู่
วิธีการนี้ยังเป็นการทำให้กระต่ายมั่นใจว่าเค้ากำลังอยู่กับเพื่อน ๆ ของเค้าเอง ในอาณาเขตของเค้าเองและยังช่วยขัดขวางการรุกรานอีกด้วย
8. การอึไปรอบๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหาอาหาร (มูลของกระต่ายนั้นเป็นปุ๋ยอย่างดี เนื่องจากมีแร่ธาตุไนโตรเจนสูง)กระต่าย
ยังจะขุดดินบริเวณไกล้ ๆ กับขอบอาณาเขตของเค้าแล้วทิ้งมูลเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์
ซึ่งเป็นนิสัยตามธรรมชาติที่ทำให้เราสามารถสอนกระต่ายให้เข้าห้องน้ำได้ค่อนข้างง่าย
ห้องน้ำนี้จะเป็นสัญลักษณ์ให้กับกระต่ายทั้งในด้านการมองเห็นและกลิ่นสำหรับเหล่ากระต่ายแล้ว
ห้องน้ำนี้ก็เหมือนเป็นการประกาศว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นของกระต่ายอีกกลุ่มไหน เป็นการเตือนหากพวกเค้ากำลังเข้าใกล้อาณาเขตของกระต่ายอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่จะปัสสาวะใส่วัถุต่าง ๆในอาณาเขตของตัวเองเท่านั้นแต่ว่ากระต่ายนั้นจะปัสสาวะใส่กันและกัน
และในบางครั้งยังจะปัสสาวะใส่คนด้วยถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยก็ตาม
นิสัยเหล่านี้จะพบบ่อยในกระต่ายตัวผู้ การปัสสาวะบางครั้งจะปัสสาวะจะหมายความถึง กระต่ายที่เป็นลูกน้องหรือผู้รุกรานแต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการขอความรัก
เวลาที่กระต่ายตัวผู้พบตัวเมียที่ถูกใจอันดับแรกเค้าจะทำการขอความรักโดยการเดินตามตัวเมียไป
หลังจากนั้นอาจเป็นการเดินเข้า ๆ ออก ๆ จากตัวเมียในขณะที่ยกหางของมันขึ้นหากกระต่ายตัวเมียยังไม่สนใจ
เค้าจะเรียกร้องความสนใจมากขึ้นโดยการวิ่งเลยตัวเมียไปและปัสสาวะใส่
กระต่ายเลี้ยงบางส่วนจะเรียนรู้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่พวกเค้าสามารถใช้เรียกร้องความสนใจจากเจ้าของได้
9. เลีย
กระต่ายจะเอาส่วนจมูกดันเราเพื่อเรียกร้องความสนใจค่ะหรือเวลาที่เค้าพยายามข่วนพื้น โดนใช้ขาหน้าท่าทางเหล่านี้ก็เพื่อให้เราสนใจค่ะ(คล้ายๆการสะกิดของคนนั่นหละค่ะ)แต่บางครั้งท่าทางคล้ายๆกันนี้ ้ก็เป็นการบอกให้เราหยุดได้แล้ว เช่นหากเรายัดเยียดอาหารกระต่าย แต่กระต่ายอิ่มแล้วกระต่ายอาจจะพยายามเอาช่วงจมูกดันมือเราออกไป มันเป็นการบอกเราว่า" ขอบคุณแต่ว่าพอได้แล้วหละ หยุดเถอะ"
10. การงับหรือแทะๆ
ซึ่งบางทีเค้าก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าการทำแบบนั้นบางครั้งทำให้เราเจ็บ เค้าเพียงแต่ต้องการเรียกร้องความสนใจค่ะเชื่อหรือไม่คะ ว่ากระต่ายไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เราเจ็บค่ะ ซึ่งอันนี้แก้ได้โดยหากเราเจ็บและร้องออกมาทุกครั้งที่เค้างับแรงๆกระต่ายจะเรียนรู้เองว่าจะต้องงับเบากว่าเดิม หรือไม่ก็เลิกงับไปเลยก็มีค่ะ
หากกระต่ายนอนโดยยืดขาออกจนสุด หูตกลงมาราบกับลำตัวตาหรี่ลงครึ่งนึง แปลว่าอยากจะนอนพักผ่อน โดยไม่ต้องการการรบกวนค่ะ
12. กัดทึ้งขนตัวเอง
หากกระต่ายเพศเมียกัดดึงขนของตัวเองออกมาสะสมไว้ในปาก แล้วเอาไปซุกไว้ตามที่ต่างๆ วิ่งไปวิ่งมารอบ ๆหรือคาบสิ่งของหรือเศษผ้ามากองไว้แปลว่ากระต่ายเตรียมจะทำรังคลอดลูกที่นั่น
13. ยืนด้วยขาหลัง ยกขาหน้าขึ้นกลางอากาศ
เป็นท่าขอค่ะเช่นกระต่ายอยากจะได้อะไรที่อยู่ในมือเรา หรืออยู่สูงกว่า เช่นขออาหาร
14. งับสิ่งของแล้วเหวี่ยงขึ้นลงไปมา
เป็นการแสดงอาการหงุดหงิดค่ะ
15. อาการหาคู่
กระต่ายที่โตขึ้นมามีฮอร์โมนมาผลักดัน แล้วพยายามหาคู่ผสมพันธุ์ แต่ว่า ไม่มีคู่ กระต่ายจะหงุดหงิดค่ะและแสดงอาการก้าวร้าวออกมา ส่วนใหญ่จะแสดงอาการคือ วิ่งวนไปมารอบๆเท้าเจ้าของพยายามปีนเจ้าของหรือสิ่งของ และมีกัดเจ้าของในบางครั้ง ซึ่งอาการเหล่านี้แก้ไดยการทำหมันค่ะ
15. การขุด
การขุดเป็นนิสัยตามธรรมชาติค่ะเพราะว่ากระต่ายจะอาศัยอยู่ในโพรง เค้าจึงมักจะขุดโน่นนี่แต่หากการขุดของกระต่ายทำให้สิ่งของในบ้านเสียหาย เราสามารถจะแก้ได้โดยเบี่ยงความสนใจของเค้า และเอากล่องเปล่ามาให้เค้าค่ะ และวางเค้าลงไปให้เค้าขุดกล่องเปล่าเล่นแทน พอเค้าขุดกล่องเปล่าเราก็ให้ขนมเค้า เป็นรางวัลและขัดขวางเค้าทุกครั้งที่เค้าพยายามจะขุดสิ่งของหรือบริเวณที่เราไม่อยากให้ขุดทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เค้าจะเข้าใจเองค่ะว่าหากอยากขุดก็ควรจะขุดในกล่องที่เราเตรียมไว้ให้
16. อาการหมอบกดตัวเองลงกับพื้น
กระต่ายกดตัวเองลงกับพื้นเป็นอาการที่เกิดจากความกลัวค่ะ เหมือนเราเวลาเรากลัวมากๆเราจะพยายามหดตัวให้เล็กที่สุด กระต่ายก็หมือนกันค่ะ
กระต่ายที่โตกว่าบางครั้งจะปีนขึ้นไปบนหลังตัวอื่น แม้ว่าบางทีจะเป็นเพศเดียวกัน นั่นไม่ได้แปลว่ากระต่ายเป็นเกย์หรอกนะคะ แต่ท่าการปีนที่คล้ายการผสมพันธุ์นี้เป็นอาการข่มตัวอื่นค่ะ กระต่ายตัวที่ปีนขึ้นหลังตัวอื่นทำแบบนี้เพื่อเป็นการบอกว่า "ฉันเหนือกว่า"
18. นอนเอาหัวอิงกัน
หากกระต่ายนอนพิงกัน เองหัวเกยกับอีกตัวแปลว่ากระต่ายทั้งคู่เข้ากันได้ดีค่ะ
บทส่งท้าย
อย่างน้อยก็คงจะทำให้เพื่อนๆเข้าใจกระต่ายมากยิ่งขึ้น และได้เห็นในมุมมองของกระต่ายในโลกที่เราบังคับให้พวกเค้าดำเนินชีวิตอยู่ค่ะ
กระต่ายที่อยู่ตามธรรมชาติ
แต่กระต่ายอ้วนถึงจะดูน่ารักแต่ไม่ใช่ว่าจะดีนะคะกระต่ายอ้วนก็เหมือนกับคนอ้วนๆ สุขภาพจะไม่แข็งแรงค่ะไม่เหมือนคนที่สุขภาพดีที่ออกกำลังกายอยู่เสมอผลที่ตามมาจากการที่กระต่ายอ้วนมากเกินไปก็คือ ทำให้มีปัญหาเรื่องหลอดเลือดและก็ยังมีผลกับพวกข้อต่อต่างๆที่ต้องรับน้ำหนักมากเกินความจำเป็น นอกจากนี้กระต่ายทีอ้วนมากจนเกินไปจะทำความสะอาดตัวเองได้ไม่สะดวกด้วยการจะก้มไปยังบริเวณก้น เพื่อที่จะกินอึพวงองุ่นก็ทำได้ยากยิ่งทำให้กระต่ายไม่ได้รับสารอาหารที่ควรจะได้จากอึพวงองุ่นไปเสียอีก
กระต่ายไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น
รู้ได้งัยกว่ากระต่ายผอมไป
กระต่ายบางตัวที่เป็นกระต่ายขนยาวอาจจะดูยากหน่อยเพราะขนที่ยาวฟูจะหลอกตาให้ดูเหมือนอ้วน แต่ถ้าใครจับอาบน้ำจะเห็นว่าตัวนืดเดียวอันนี้ก็ควรต้องพยายามสังเกตกันหน่อยค่ะแต่ถ้าเป็นกระต่ายขนสั้นจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่ากันเยอะเลยวิธีดูง่ายๆว่ากระต่ายผอมไปหรือเปล่าให้ใช้มือคลำดูค่ะ โดยลูบไปบริเวณสันหลังถ้าหากเราคลำเจอโครงกระดูกแปลว่าผอมไปเสียแล้วหละ
รู้ได้ยังไงว่าอ้วนไป
กระต่ายที่มีหัวกลมตัวมักจะป้อมๆ กระต่ายที่อ้วนมักมีเหนียงที่คอมาก นอกจากนี้เราจะเห็นด้วยตาได้ว่าช่วงไหล่ ขา ว่าใหญ่มีเนื้อมากไปหรือไม่
ควรจะลดอาหารเม็ดและให้หญ้าจำพวก Timothy หญ้า hay หรือ หญ้าขนแทนโดยใส่ไว้ในกรงให้กระต่ายสามารถจะกินได้ทั้งวัน และอาจจะเสริมผักใบเขียวต่างๆ หรือแครอท เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นถ้ากระต่ายทำท่าไม่ยอมกินเลย เราอาจจะให้ต้องใจแข็งค่ะอย่าใจอ่อนเพราะกระต่ายจะเรียนรู้เองว่าไม่กินก็อด แล้วก็จะพยายามกินเองในที่สุด (แต่การเปลี่ยนอาหารให้เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ไม่ใช่เปลี่ยนที่เดียวหมด)
นอกจากนี้ก็ควรปล่อยให้กระต่ายได้ออกมาวิ่งเล่นออกกำลังกายนอกกรงบ้างค่ะ (แต่ระวัง สายไฟ ยาฆ่าแมลง พืชมีพิษ สุนัข แมว หรือผู้ล่าอื่นๆ)
อย่าเพิ่งร้องยี้ นะคะ การเข้าใจเรื่องอึ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงกระต่าย
ว่าแต่ว่าตอนนี้มีใครเข้าใจในเรื่องนี้มั่งเอ่ยมีใครตอบได้ไหม ว่าไอ้ก้อนดำๆ กับก้อนก้อนกลมๆ สีน้ำตาลแบบในรูปข้างล่างเนี่ยมันต่างกันยังไง
ส่วนไอ้ที่เป็นอึจริงๆ คือก้อนสีน้ำตาลกลมแข็งๆแห้งๆ นั่นต่างหากอันนี้กระต่ายไม่กินค่ะ
อ้อ เวลาที่กระต่ายไม่สบาย จะพาเค้าไปหาหมอแอบเก็บอึทั้ง 2 แบบติดไปให้คุณหมอดูด้วยก็ดีค่ะ เผื่อจะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยค่ะ
วันนี้ จะมีรายการ ผัก และ ผลไม้ ที่ปลอดภัย สำหรับกระต่ายมาฝากค่ะ
ผักผลไม้ ยังไม่ควรให้ในลูกกระต่ายที่ยังเด็กมากๆเพราะว่าอาจจะปรับตัวไม่ทัน และทำให้ท้องเสียได้ หากลูกกระต่ายหย่านมแล้ว ควรให้หญ้าไปก่อนหลังจาก อีกซัก 2 เดือนหลังหย่านม จึงค่อยหัดให้กินผัก ผลไม้ได้ แต่ไม่ควรให้เยอะต้องค่อยๆให้ทีละนิดให้กระต่ายปรับตัวค่ะ
และควรเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆค่ะ
|
แอปเปิล
|
กล้วย(ไม่มีเปลือก)
|
ชมพู่
|
ลิ้นจี่
|
ฝรั่ง
|
|
||||
สาลี่
|
แครนเบอรี่
|
ราสเบอรี่
|
บลูเบอรี่
|
สตรอเบอรี่
|
|
|
|
|
|
เชอรี่
|
มะละกอ(เม็ดออก)
|
แคนตาลูป
|
องุ่น(เม็ดออก)
|
ส้ม(ไม่เปรี้ยว)
|
|
|
|
|
|
|
|
|||
ลูกแพร์
|
ลูกพีช
|
พลัม
|
|
|
ผักมีกากใยอาหาร หรือที่เรียกว่าไฟเบอร์สูง และน้ำตาลต่ำอีกด้วย
หน่อไม้ฝรั่ง
|
คะน้า
|
บล็อคเคอรี่
|
ใบบัวบก
|
คะน้าฮ่องกง
|
|
||||
ผักกาดขาว
|
ผักกาด หางหงษ์
|
ผักกาดหอม
|
parsley
|
สะระแหน่
|
|
|
|
|
|
|
|
|||
Arugula
|
Spinash (อย่าบ่อย)
|
ผักชีฝรั่ง
|
|
|
บร็อคโครี่ โหระพา แมงลักให้ได้แต่อย่างบ่อยเพราะมีแคลเซี่ยมสูง หากกินน้ำน้อยด้วยจะเสี่ยงแก่การเป็นนิ่ว
|
แตงโม ให้ได้แต่ไม่ควรให้บ่อย เพราะว่า จะทำให้ท้องเสียได้
|
ผักกาดแก้ว ควรเลี่ยงเพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
|
ควรเลี่ยง เพราะน้ำมาก อาจจะทำให้ท้องเสีย
|
เงาะ เพราะว่า มียาง
|
ทุเรียน เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
ขนุน เพราะมียางและหวานมาก |
อาโวคาโด เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
|
กระหล่ำปลี ห้ามให้กิน เพราะจะทำให้เกิดแกส ในระบบทางเดินอาหาร
|
แตงกวา แตงร้าน เพราะว่ามียาง และมียาฆ่าแมลงที่เปลือกมาก
|
มะนาว และ ผลไม้รสเปรี้ยว
|
มันฝรั่งดิบ
|
ผักบุ้งไทย เพราะมียางมาก
|
การตัดเล็บเท้าของกระต่ายถือเป็นส่วนหนึ่งในการ Grooming ค่ะ
การตัดเล็บกระต่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่ากระต่ายจะได้ไม่เอาเล็บเท้าข่วนตัวเองตอนที่เกาไม่ข่วนถูกคนเลี้ยงในขณะที่อุ้มกระต่าย ไม่ขูดถูกเพื่อนกระต่ายด้วยกันและนอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้เล็บกระต่ายไปเกี่ยวกับซี่กรงและเกิดการฉีกขาดบาดเจ็บค่ะ
อย่าตัดเข้าเนื้อนะคะเลือดจะออก และกระต่ายจะเจ็บ หลังจากนั้นกระต่ายจะกลัวการตัดเล็บค่ะต้องระวังให้มากๆ (ลองนึกถึงตอนที่เราตัดเล็บเข้าเนื้อแล้วเลือดไหลกระต่ายก็จะเจ็บเหมือนเราค่ะ)
ก็สามารถจะซื้อได้จาก Pet Shop ทั่วไปค่ะ หาซื้อเป็นที่ตัดเล็บสำหรับสุนัขและแมวค่ะ ใช้ได้
|
จะตัดแค่ไหนดี ?
ให้ค่อยๆ เอามือลูบขนของกระต่ายขึ้นไปจากเล็บ หากตรงปลายเล็บมีขนบังเพื่อให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่า ควรตัดตรงตำแหน่งไหน เพราะว่ากระต่ายบางทีแล้วขนของกระต่ายจะมาปกคลุมตรงเล็บเท้า ทำให้เห็นยาก
พยายามมองหาเส้นที่แบ่งระหว่างสีขาวและสีชมพูของเล็บ (มองเทียบกับนิ้วมือของตัวเราเอง ตอนตัดเล็บมือ ก็ได้ค่ะ เทียบของคนประกอบนะคะจะเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ) เราต้องตัดต่ำกว่า เส้นสีชมพูนี้ลงมาหน่อย (อย่าตัดติดเส้นสีชมพูนะคะ ให้ห่างออกมานิดนึง ไม่งั้นจะติดเนื้อเล็บเกินไปและเจ็บได้)
ซึ่งส่วนสีขาวเป็นส่วนของเล็บที่ได้ตัดแล้วไม่เจ็บอย่าไปตัดโดนส่วนที่เป็นเส้นสีชมพูนี้ เพราะว่า จะเป็นการตัดเข้าเนื้อซึ่งมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เลือดไหล และกระต่ายจะเจ็บ กระต่ายเล็บดำ จะดูยากหน่อย อาจจะต้องใช้การส่องไฟช่วยค่ะ
|
|
ทีนี้มาดูวิธีการตัดจริงๆ
ตัดตามที่บอกไว้ค่ะ หากพลาดไปตัดลึกไป เลยเข้าไปถึงส่วนที่เป็นสีชมพูของเล็บแล้วเลือดไหล อย่าตกใจค่ะ หากใครเคยตัดเล็บตัวเองพลาดแล้วเลือดไหลจะจำได้ว่าไม่นานเลือดจะหยุดไหลเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่ยาอะไรกระต่ายก็เหมือนกันค่ะ ให้เราหยุดตัดแล้วปล่อยกระต่ายเข้ากรง เพื่อให้กระต่ายได้พักและจะได้เครียดลดลง
แต่หากเราตัดพลาดไปมากๆ แล้วหลังจากทิ้งไว้ซักครู่ เลือดไม่หยุดไหลจริงๆก็ให้เราไปซื้อผงห้ามเลือดมาค่ะจะช่วยให้เลือดหยุดไหลได้
|
ที่จริงแล้ว กระต่ายเอง ก็มีของเล่นได้นะคะการเลือกของเล่น เลือกแบบที่ไม่มีสีดีกว่า หรือหากมีสีก็ควรจะเป็นสีผสมอาหารนะคะประเภทไม้ที่ชุบสีทาบ้านเนี่ย ไม่ดีค่ะ เป็นอันตรายกับกระต่าย
วันนี้มีของเล่นของกระต่ายมาฝากค่ะเผื่อใครสนใจ
• แกนทิชชู่ค่ะ
ใส่เอาไว้ในกรงก็ได้ค่ะกระต่ายจะแทะเล่นหรือไม่ก็เอามาเหวี่ยงเล่นอีกด้วย
• กล่องกระดาษค่ะเอาแบบแข็งๆ
แข็งแรงๆนะคะเอามาเจาะเป็นรูประตูเข้าออก ค่ะ ใช้เป็นที่หลบได้ กระต่ายจะมุดเข้าไปสำรวจและอาจจะแทะเล่นอีกด้วย ที่อยากให้หาเป็นกล่องแข็งๆ เพราะว่าบางทีกระต่ายจะปีนขึ้นไปบนหลังกล่องค่ะ กลัวว่าจะคว่ำลงมา ใครมีไอเดียเจ็งๆฝีมือดีๆ จะตกแต่งบ้านกระดาษให้สวยถูกใจน้องกระต่ายก็ทำได้ค่ะ
(Photo Credit: http://www.cjpet.co.uk/chateau.html)
• นอกจากนี้อาจจะดัดแปลงกล่องเป็นกล่องสมบัติค่ะ ในกล่องกระดาษนั้นใส่หญ้าลงไปกระต่ายจะขุดคุ้ยเล่นค่ะ และแทะกินหญ้าในกล่องไปในตัว
•ถุงกระดาษแบบไม่มีลายไว้ให้มุดเล่น ขุดเล่น และไว้ให้แทะเล่น
• ไม้ลับฟันไว้ให้กระต่ายลับฟันเล่นป้องกันฟันยาวได้อีกด้วย
• พวกผ้าขนหนูเก่าๆ
ก็มีประโยชน์ค่ะเอาไว้ให้มุดเล่น หรือ ดึงเล่น แต่อย่าทิ้งไว้ในกรงนะคะเพราะว่ากระต่ายอาจจแทะเอาผ้าเข้าไป และย่อยไม่ได้ เป็นต้น
•พวกตะกร้าสานที่ไม่ใช้แล้ว
ใส่ไว้ในกรงก็ได้ค่ะให้กระต่ายแทะเล่น
• พวกของเล่นสุนัขค่ะ
กระต่ายบางตัวชอบเอามาเล่น โดยเอาปากงัดโยนไปมาแต่อย่าเลือกแบบที่กระต่ายเคี้ยวได้ หรือเล็กจนติดคอได้นะคะ
• แล้วก็พวกของเล่นกลมๆ
ที่กลิ้งได้ มีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ แบบนี้กระต่ายบางตัวชอบนะ จะบอกให้
• กะบะอาหารสแตนเลส
ว่างๆ ลองใส่ไว้ในกรงดูนะคะกระต่ายบางตัวชอบเอาปากงับเหวี่ยงเล่นค่ะ
•บ้านบันไดโพรงค่ะ
สำหรับการแทะเล่น และ การกระโดดขึ้นลง ออกกำลังกายกระต่ายชอบปีนขึ้นไปนอนที่สูงๆด้วยนะคะ เพราะว่าจะทำให้เห็นวิวชัดขึ้นเค้าจะปีนขึ้นไปนอนบนบ้านบันไดโพรงค่ะนอกจากนี้ยังใช้บ้านบันไดโพรงเป็นที่ลับฟันอีกด้วย (กระต่ายชอบมากอันนี้แนะนำเลยค่ะ อยากให้มีไว้ในกรง)
• ขอนไม้
ใส่ขอนไม้ไว้ในกรงด้วยก็ได้ค่ะกระต่ายจะฝึกวิชาตัวเบากระโดดข้ามเล่นไปมา และ แทะเล่นนอกจากนี้ขอนไม้ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแก่กระต่ายอีกด้วย อ้ออย่าใช้ไม่ที่มีเสี้ยนหรือยางนะคะ
• กระดาษขาวไม่มีลาย
เหมาะแก่การให้กระต่ายฉีกเล่นค่ะหรือใช้ในการลับเล็บ ในการขุดเป็นต้น พยายามเลี่ยงกระดาษหนังสือพิมพ์ค่ะเพราะว่ามีหมึกพิมพ์ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพกระต่าย
• หญ้าแห้งค่ะ
หรือหญ้าธรรมดาก็ได้ค่ะเอามามัดเข้าด้วยกันเป็นฟ่อนหญ้า กระต่ายจะสนุกกับการดึกหญ้าออกมาจากฟ่อนและเคี้ยวกินหญ้าค่ะ
• ฝาอย่างฝาขวดที่เป็นพลาสติก
น่ะค่ะกระต่ายบางตัวก็ชอบคาบแล้วเหวี่ยงเล่นเหมือนกัน เอาฝาใหญ่ๆหน่อยนะคะเอาแบบงับเล่นได้ แต่กินไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ติดคอน้องกระต่าย
การอยู่ในกรงทั้งวันน่ะ น่าเบื่อจะตายไปเราควรจะมีของเล่นมาให้น้องกระต่ายมั่งนะคะ
เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ที่เรามักจะพบกันบ่อยก็คือ ผู้ขายกระต่ายบางส่วนได้เอากระต่ายที่ยังไม่หย่านม คือมีอายุไม่เกิน 2 เดือนมาขายโดยเอามาหลอกขายว่าเป็นกระต่ายแคระ บางตัวอายุเพียงแค่ 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ดังนั้นเราจึงควรจะเรียนรู้วิธีการเลือกซื้อลูกกระต่าย เพื่อจะได้ ไม่โดนหลอกกันอีก
อย่าซื้อเลยค่ะลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมโอกาสรอดน้อยค่ะเพราะนั่นคือเรากำลังฆ่าลูกกระต่ายเหล่านั้นทางอ้อม ปล่อยให้เค้าอยู่กับแม่ของเค้าจนถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่าค่ะ แล้วเราจะได้ลูกกระต่ายที่แข็งแรงสุขภาพและสุขภาพจิตดี อีกด้วย
อีกอย่างนะ ลูกกระต่ายน่ะดูน่ารักก็จริงแต่อายุขนาดนั้น ฟอร์มยังไม่ออกหรอกค่ะ เลือกซื้อหลังจากอายุ 2-3 เดือนไป ยิ่งดีเพราะว่า เราจะเห็นลักษณะเค้าชัดเจนยิ่งขึ้นว่าสวยจริงหรือไม่ |
กระต่ายที่อายุน้อยเกินไปลักษณะจะเป็นดังนี้
ขนจะอ่อน เป็นขนที่ยังไม่ผลัด
ส่วนขาโดยเฉพาะขาหลังจะยังยืดไม่เต็มที่
นิ้วจะยังไม่ค่อยออก นิ้วจะสั้นๆ
หูจะสั้นๆ และแข็งเมื่อลองสัมผัสเทียบกับกระต่ายโต พันธุ์เดียวกัน
ส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะจะนอนทั้งวันจะเดินไม่คล่อง ยังต้วมเตี้ยม ขี้ตกใจ
ฟันจะเห็นว่าฟันบางตัวจะยังขึ้นไม่สมบูรณ์ยังเป็นเพียงจุดขาวๆ ยื่นออกมาสั้นๆก็มี
กระต่ายมีอายุที่เหมาะสมในการผสมเช่นกันในบางรายอาจจะเอากระต่ายที่โตแล้ว และเพาะลูกมาระยะหนึ่ง จนใกล้จะหมดเวลาที่เหมาะสมอาจจะมีการคัดกระต่ายทิ้งไป เพื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่มาแทนแล้วเอากระต่ายแก่มาหลอกขาย เป็นต้น วิธีป้องกันในการไม่ไปซื้อกระต่ายอายุมากเกินไปก็คือ
การตรวจดูที่ฟันของกระต่ายฟันกระต่ายหนุ่มสาวจะมีสีขาวเหมือนไข่มุก แต่ถ้ากระต่ายอายุมากยิ่งมากฟันจะยิ่งเหลือง
ส่วนไขมันใต้คาง กระต่ายยิ่งอายุมาก ไขมันใต้คางจะยิ่งหนา
ดูจากเล็บกระต่าย ยิ่งเล็บยาวม้วนมากอายุจะยิ่งมาก แต่ถ้าหากว่า โดนตัดเล็บไป เราอาจจะตรวจดูจากฐานเล็บหากความกว้างของฐานเล็บยิ่งมาก กระต่ายจะยิ่งมีอายุมากค่ะ
1. แยกตัวผู้
ถ้ายังไม่ได้แยกตัวผู้ออก รีบแยกออกก่อนตัวเมียจะคลอดลูกแต่ของใครออกลูกมาแล้วโดยที่ยังไม่ได้แยกตัวผู้ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลยนะคะรีบแยกตัวผู้ออกซะดีๆ
2. เตรียมรังคลอด
. ในกรงกระต่ายมีรังคลอดหรือยังคะ ที่จริงควรใส่ไว้ในตั้งแต่แม่กระต่ายยังไม่ออกลูกค่ะ ถ้ายังไม่ได้เตรียมไว้ ก็ควรจะรีบไปหามาค่ะแม่กระต่ายบางตัวจะเข้าไปออกในรังที่เราเตรียมไว้ให้ หลังจากแม่กระต่ายออกลูกแล้วเค้าจะเลียทำความสะอาดลูก ซึ่งหลังจากแม่กระต่ายทำความสะอาดลูกแล้วเราก็สามารถเข้าไปตรวจดูได้ค่ะ ว่ามีลูกกระต่ายตายบ้างหรือไม่ถ้าพบว่าตายก็ควรจะเก็บออกค่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้ อาจจะทำให้ฝูงมดมาค่ะทีนี้ลูกกระต่ายตัวอื่นๆจะโดนมดกัดตายตามไปด้วย
แต่ถ้าแม่กระต่ายไม่ยอมออกในลูกรังคลอดที่เราเตรียมไว้ให้เราก็สามารถจะจับลูกกระต่าย ไปไว้ในรังคลอดได้ค่ะการปล่อยลูกกระต่ายไว้นอกรังคลอดไม่ดีหรอกค่ะ เพราะว่า ขาลูกกระต่ายหรือตัวลูกกระต่าย อาจจะตกลงไประหว่างซี่กรง และโดนแม่เหยียบตายได้
ซึ่งกระต่ายไม่มีปัญหาเรื่องการผิดกลิ่นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะเราสามารถจะจับลูกกระต่ายได้ค่ะ แต่หากใครกลัวมากๆจะเอามือไปถูๆที่ขนแม่กระต่ายก่อนค่อยมาจับลูกกระต่ายเพื่อความสบายใจก็ไม่ผิดกติกาค่ะ
3. จัดกรงให้ปลอดภัยแก่ลูกกระต่าย
ในกรณีที่แม่กระต่ายไม่ยอมทึ้งขนแล้วอากาศค่อนข้างเย็นเนี่ย เราอาจจะช่วยลูกกระต่ายให้มีที่นอนนุ่มๆอุ่นๆได้ค่ะโดยไปหาสำลีแบบก้อนๆค่ะ ที่ขายตามโลตัสเป็นก้อนใหญ่ๆ เอามาปูในกรงก็ได้ค่ะลูกกระต่ายจะซุกตัวเข้าไปนอนเหมือนกับเป็นขนของแม่ค่ะ (กรณีที่ลูกกระต่ายที่แม่ไม่เลี้ยง ก็เอาสำลีมาปูได้ ไม่ผิดกติกาค่ะ)
นอกจากนี้ ตามพื้นกรงที่เป็นซี่ๆ ลูกกระต่ายอาจจะตกลงไประหว่างซี่ หรือขาติดระหว่างซี่กรง แล้วโดนเหยียบได้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถจะป้องกันได้โดยการปูพื้นกรงด้วยหญ้าแห้งค่ะอาจจะเป็น หญ้าขนแห้งๆหรือหญ้าแห้ง Timothy ที่ขายเป็นถุงๆก็ได้ค่ะ เพื่อปิดซี่ห่างของพื้นกรงซึ่งนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัย แม่กระต่ายยังสามารถจะใช้รองนอนลูกกระต่ายก็ได้รับความอบอุ่นและแม่กระต่ายยังสามารถจะแทะหญ้าแห้งเหล่านี้กินได้อีกด้วย
4. แม่กระต่ายเลี้ยงลูกหรือเปล่า
หากแม่กระต่ายดูเหมือนไม่ยอมเลี้ยงลูก ไม่ต้องตกใจกลัวนะคะเจ้าของส่วนใหญ่มักจะกังวลเมื่อเห็นว่า แม่กระต่ายไม่ยอมไปนอนกกลูกแถมบางทีก็ไม่เห็นว่าเลี้ยงนมลูกอีกต่างหาก ก็เลยกลัวกันว่าแม่กระต่ายไม่เลี้ยงแต่จริงๆแล้ว อาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆ เข้าใจนะคะ เพราะว่าแม่กระต่ายไม่ใช่แม่ไก่ค่ะ เค้าไม่กกลูกทั้งวันหรอกค่ะแต่ว่าเค้าจะให้นมลูกแค่วันละ ไม่เกิน 2 ครั้งค่ะ คือตอนเช้าตรู่ครั้งและตอนกลางคืนอีกครั้งค่ะ
ส่วนเวลาที่เหลือเค้าจะแยกไปดูลูกอยู่ห่างๆค่ะทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมชาติแล้วกระต่ายจะไปออกลูกในโพรงการที่แม่กระต่ายอยุ่กับลูกที่โพรงตลอดเวลานั้น จะทำให้เป็นเป้าสนใจแก่ผู้ล่าค่ะอย่าลืมว่าหากมีศัตรูมาโจมตี กระต่ายไม่มีทางสู้ได้เลยนอกจากการหนีให้เร็วที่สุดแต่ว่าลูกกระต่ายแรกเกิดนั้น ตายังไม่ลืม หูไม่ได้ยิน มองไม่เห็น เดินไม่ได้ป้องกันตัวเองไม่ได้เลย แม่กระต่ายส่วนใหญ่จึงมักจะต้องอยู่ห่างๆลูกไว้เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของศัตรูนั่นเอง
วิธีดูว่าลูกกระต่ายได้รับนมจากแม่หรือไม่
วิธีดูง่ายๆคือลูกกระต่ายที่ได้กินนมแม่เนี่ยตรงท้องบางๆของเค้าจะเต่งกลมค่ะ และมองดีๆจะเห็นนมสีขาวๆ อยู่ใต้ผิวบางๆ
ส่วนลูกกระต่ายที่แม่ไม่ยอมเลี้ยง เราจะเห็นว่าตัวเค้าเหี่ยวๆค่ะท้องไม่เต่งเต็มเหมือนตอนคลอดออกมา
4. หาแม่บุญธรรมถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง
ถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยงเนี่ยเราจำเป็นจะต้องหาแม่บุญธรรมค่ะ ลูกกระต่ายเลี้ยงมือไม่ค่อยรอดนะคะ เราเคยเลี้ยงมือมีอยู่ตัวหนึ่ง แม้จะรอดแต่ก็ตายไม่นานหลังอายุหย่านมหลายๆคนก็เคยเจอแบบเดียวกันค่ะ
ทางที่ดีที่สุดคือ หาแม่บุญธรรมค่ะเป็นแม่กระต่ายที่คลอดลูกไล่เลี่ยกัน ลองประกาศหาตามบอร์ดต่างๆอาจจะมีคนช่วยเหลือได้ รวมทั้งถามจากฟาร์มที่ซื้อมาค่ะเผื่อเค้าจะมีแม่กระต่ายลูกอ่อน
อย่าลืมเรื่องน้ำและอาหารของแม่กระต่ายด้วยนะคะดูแลเค้าให้เค้ามีน้ำและอาหารอย่าให้ขาดค่ะ :)
กระต่ายกลับมาบ้านแล้วเลี้ยงไปเลี้ยงมา ไม่กี่วันก็เสียชีวิตโดยไร้สาเหตุจึงเกิดคำร่ำลือมากมายว่ากระต่ายเลี้ยงยากตายง่าย ทำให้หลาย ๆคนเลิกคิดที่เลี้ยงกระต่ายไปเลยแต่โดยความเป็นจริงแล้วกระต่ายไม่ใช่เป็นสัตว์ที่เลี้ยงยากอย่างนั้นเลย จริงๆแล้วกระต่ายเป็นสัตว์ที่แข็งแรงและอดทนมาก ฉะนั้นต่อไปนี้เราจะมาดูกันว่าครั้งต่อไปเวลาเราจะเลือกกระต่ายสวยและสุขภาพดีกลับบ้าน จะต้องทำอย่างไรบ้าง ...
|
|
||||||||||||||||||||
|
|
|
|
|
|
|