เป็นคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ ซึ่งรัชกาลที่ 3 ให้จารึกลงในแผ่นศิลาติดไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) เป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว ซึ่งเป็นอุบายเพื่อให้คนโบราณ ผู้ไม่รู้หนังสือได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด และ เวลาใดโดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ เพราะคนสมัยก่อนไม่มีปฏิทินเช่นสมัยนี้ การจะรู้ว่าวันเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ตรงกับวันใดจะต้องรอให้โหรคำนวณเสียก่อน โดยแต่ละปีจะไม่ตรงกัน จากนั้นทางราชการก็จะออก ประกาศสงกรานต์ ของ ปีนั้นๆ ไปป่าวประกาศแจ้งให้ราษฎรได้ทราบถึงวัน เวลาเปลี่ยนศักราชใหม่ กำหนดการพระราชพิธี ศาสนพิธี วันมงคล วันอวมงคลที่ควร/ไม่ควรประกอบกิจการ เกณฑ์น้ำฝน และชื่อนางสงกรานต์ของปีนั้นๆ เป็นต้น ซึ่งประกาศสงกรานต์นี้นับว่ามีสาระประโยชน์ยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพกสิกรรม เพราะสมัยโน้นยังไม่มีกรมอุตุนิยมวิทยาหรือสื่ออื่นใดที่จะบอกถึงสภาพดินฟ้า อากาศที่จำเป็นต่อการเพาะปลูก หรือแจ้งวันสำคัญต่างๆให้ทราบล่วงหน้า ประชาชนจะทราบเรื่องต่างๆข้างต้นก็จากประกาศสงกรานต์นี้เอง
อย่างไรก็ดี แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆจะก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังให้ความสนใจกับ ประกาศสงกรานต์ และ นางสงกรานต์ ใน แต่ละปีอยู่ ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำข้อมูลและเรื่องราวเกี่ยวกับนางสงกรานต์มาเสนอให้ทราบเป็นความรู้ไว้
ตามตำนานกล่าวว่า นางสงกรานต์เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม มีด้วยกันเจ็ดนาง และเป็นบาทบริจาริกา(สนม)ของพระอินทร์ เมื่อท้าวกบิลพรหมผู้บิดาซึ่งเป็นผู้แสดงมงคลต่างๆแก่มนุษย์ เกิดไม่พอใจธรรมบาลกุมารที่มาแข่งทำหน้าที่เดียวกับตน จึงไปท้าพนันตอบปริศนากับธรรมบาลกุมาร แล้วแพ้ จึงต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับและนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะของตน ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า 'นางสงกรานต์' ส่วนท้าวกบิลพรหม นั้น โดยนัยจะหมายถึง พระอาทิตย์ เพราะกบิล แปลว่า สีแดง
นางสงกรานต์แต่ละวันมีนามใด และทรงอาวุธอะไรบ้าง
นางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนาง จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหนะต่างกันตามแต่ละวันในสัปดาห์ ดังนี้
วันอาทิตย์ นามทุงสะ ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค หรือปัทมราช(พลอยสีแดง)ภักษาหารมะเดื่อ หัตถ์ขวาถือจักร หัตถ์ซ้ายถือสังข์ มีครุฑเป็นพาหนะ
วันจันทร์ นาม นางโคราคะ ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า มีเสือเป็นพาหนะ
วันอังคาร นามนางรากษส (ราก-สด)ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต หัตถ์ขวาถือตรีศูล หัตถ์ซ้ายถือธนู มีสุกร เป็นพาหนะ
วันพุธ นาม นางมณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย หัตถ์ขวาถือเหล็กแหลม หัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า มีคัสพะ(ลา)เป็นพาหนะ
วันพฤหัสบดี นาม นางกิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา หัตถ์ขวาถือขอช้าง หัตถ์ซ้ายถือปืน มีช้างเป็นพาหนะ
วันศุกร์ นามนางกิมิทา ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือพิณ มีมหิงสา (ควาย)เป็นพาหนะ
และวันเสาร์ นาม นางมโหทร ทัดดอกสามหาว(ผักตบ) เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย หัตถ์ขวาถือจักร หัตถ์ซ้ายถือตรีศูล มีนกยูงเป็นพาหนะ
ส่วนอิริยาบถที่นางสงกรานต์ขี่พาหนะมา อันเป็นการบอกช่วงเวลาว่า พระอาทิตย์เคลื่อนสู่ราศีเมษเวลาใดของวันมหาสงกรานต์ จะมีด้วยกัน 4 ท่า โดยมีความหมาย
1.ถ้ายืนมาบนพาหนะ หมายถึง พระอาทิตย์ยกสู่ราศีเมษในระหว่างเวลารุ่งเช้าจนถึงเที่ยง
2.ถ้านั่งมาบนพาหนะหมายถึงช่วงเที่ยงจนถึงค่ำ
3.ถ้านอนลืมตามาบนพาหนะ หมายถึงช่วงค่ำไปจนถึงเที่ยงคืน
4.ถ้านอนหลับตามาบนพาหนะ หมายถึง เที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งเช้า